เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ จ.นครราชสีมา นายขจร มุกมีค่า รองอธิบดีกรมศิลปากร ร่วมกับนายนายจารึก วิไลแก้ว ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่12 นครราชสีมา น.ส.พิมพ์นารา กิจโชติประเสริฐ หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย มาชี้แจงในกรณีที่ดินในเขตโบราณสภานเมืองพิมาย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ที่บริเวณลานพรหมทัต เขตเทศบาลตำบลพิมาย ต.ในเมือง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา มีประชาชนเข้าร่วมรับฟัง กว่า 1,500 คน ทั้งนี้ภายหลังจากที่กรมศิลปากรได้มีหนังสือถึงผู้ครอบครองที่ดินในเขตโบราณสถานเมืองพิมาย โดยแจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินว่ากรมศิลปากรจะเวนคืนที่ดินรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างในเขตที่ดินโบราณสถานเมืองพิมาย จึงมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานเมืองพิมาย หรือมีข้อโต้แย้งประการใดแจ้งไปยังกรมศิลปากรภายใน 30 วันนับแต่วันที่กรมศิลปากรแจ้งให้ทราบนั้น
นายขจร มุกมีค่า รองอธิบดีกรมศิลปากร ได้ชี้แจงให้กับประชาชนที่เข้าร่วมรับฟังในกรณีที่ดินในเขตโบราณสถานเมืองพิมาย ว่ากรมศิลปากรจะเวนคืนที่ดินรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างในเขตที่ดินโบราณสถานเมืองพิมาย ทำให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองได้รับความเดือดร้อนเกิดความวิตกกังวลอย่างแพร่หลาย ซึ่งความจริงแล้วทางกรมศิลปากร เพียงแค่ประกาศแจ้งให้ทราบถึงแนวเขตโบราณสถาน และแจ้งเขตควบคุมการก่อสร้างอาคารเท่านั้น ไม่ได้จะมีการเวนคืนไล่ที่ หรือสั่งรื้อถอนอาคารที่มีความสูงเกิน 2 ชั้น ก็จะรอให้หมดสภาพไปเอง จะไม่มีการสั่งรื้อถอนเกิดขึ้นแน่นอน จึงอยากให้ประชาชนที่อยู่ในเขตโบราณสถานเมืองพิมายสบายใจได้ จะไม่มีเหตุการณ์อย่างที่ท่านกังวลอยู่แน่นอน
ส่วนผู้ที่ครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินบริเวณบารายหรือสระน้ำโบราณนั้นอาจจะมีการถูกเพิกถอนกรรมสิทธิ์เพราะถือว่าบุกรุกพื้นที่โบราณสถาน ส่วนในระหว่างชี้แจงอยู่นั้นชาวบ้านบางคนก็เข้าใจในการชี้แจง บางคนก็มีข้อสงสัยสอบถามว่าการจะปลูกสร้างบ้านที่อยู่อาศัยอาคารพาณิชย์จะต้องไปขอยื่นแบบการก่อสร้างขออนุญาตก่อสร้างกับกรมศิลปากร ก่อนที่จะมายื่นกับเทศบาล การก่อสร้างความสูงไม่ให้เกิน 2 ชั้น ประมาณ 8 เมตร ซึ่งจะเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยใช้เวลาประชุมชี้แจงนานกว่า 4 ชั่วโมง ชาวบ้านจึงแยกย้ายกันกลับ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารกว่า 100 นาย ดูแลความสงบเรียบร้อย จึงไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น