นับตั้งแต่เมื่อปี 2008 “กระทิงดุ” สเปน ก็ผงาดขึ้นมาสมฉายา ด้วยการครองเจ้ายุโรป แถมยังต่อเนื่องความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์โลกเป็นสมัยแรกในปี 2010 และเป็นทีมแรกในโลกที่สามารถคว้าแชมป์รายการเมเจอร์ได้ 3 รายการติดต่อกัน จากการป้องกันแชมป์ยูโรได้เมื่อ 4 ปีก่อน
ช่วงเวลานั้นเรียกได้ว่าเป็น ยุคทอง ของทีมอย่างแท้จริง มีนักเตะที่ก้าวขึ้นไปเป็นระดับโลกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น อีเคร์ กาซิยาส, การ์เลส ปูโยล, ชาบี้ เอร์นานเดซ, ดาบิด บีญ่า, เฟร์นานโด ตอร์เรส และชาบี อลอนโซ่
จากสไตล์การเล่น ติกิ ตาก้า ของบาร์เซโลน่า ที่นำมาปรับใช้กับสเปน ผสานกับผู้เล่นชั้นนำของรีล มาดริด ทำให้สเปนยุคนั้นหาทีมหยุดได้ยาก เกมรุกรวดเร็ว เสียบอลก็แย่งกลับมาได้เร็ว ทำให้คู่แข่งแทบโงหัวไม่ขึ้น ขณะที่แนวรับก็มีกาซิยาส ที่ไว้ใจได้เสมอในจังหวะสุดท้าย กลายเป็นทีมเบอร์ 1 ของโลกอย่างแท้จริงในตอนนั้น
แต่ทุกอย่างย่อมมีวันสิ้นสุด ฟุตบอลเกมรุกจ๋า เมื่อถูกจับทางได้ ทุกอย่างก็เรียบร้อย
ตั้งแต่ ฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล สเปนในเวทีระดับโลกเริ่มแสดงให้เห็นจุดอ่อน ต่อให้ครองบอลมากแค่ไหน แต่จังหวะสุดท้ายถ้าไม่สามารถสร้างโอกาสจบสกอร์ได้ ก็จะโดนสวนแล้วเสียประตูอย่างที่แพ้ให้กับ เนเธอร์แลนด์ 1-5 และแพ้ ชิลี 0-2 พร้อมกับตกรอบแรก
จากนั้นกระทิงตัวนี้เริ่มปรับขบวนใหม่ หลายๆ คนหันหลังให้ทีมชาติทั้ง ชาบี้, บีญ่า, อลอนโซ่ ทำให้เริ่มต้อนรับเลือดใหม่ๆ เข้ามาอย่าง ติอาโก้ อัลคันทาร่า, โกเก้ หรือ อัลบาโร่ โมราต้า เพื่อการคว้าแชมป์ยูโรเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน
แต่กลับกลายเป็นว่า บีเซนเต้ เดล บอสเก้ กลับยังทู่ซี้ ใช้แต่นักเตะเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็น ดาบิด ซิลบา หรือ เชสก์ ฟาเบรกาส ที่ตั้งแต่นัดแรกจนถึงเกมพ่ายอิตาลี แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่สามารถสร้างสรรค์โอกาสให้กับทีมได้ดีเท่าที่ควร
ภาระหนักไปตกกับ อันเดรส อิเนียสต้า เพียงคนเดียว ที่สามารถครองบอล ควบคุมจังหวะ พร้อมกับสร้างโอกาสได้ ซึ่งก็ถูกประกบอย่างหนักจนแทบจะเปิดบอลสวยๆ ไม่ได้เลย
จบยูโรครั้งนี้อาจจะมีอีกหลายคนลาสเปนไปอีก ไม่เว้นแม้แต่เดล บอสเก้ ที่มีแพลนจะลาทีมหลังจบยูโรก่อนหน้านี้
ต้องดูว่านักเตะเลือดใหม่จะก้าวขึ้นมาทำผลงานได้เทียบเท่ารุ่นพี่หรือไม่
แต่ตอนนี้ยุคทองของกระทิงดุ ได้จบลงไปแล้ว
