“ตราไก่” ฝรั่งเศส กับ “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ทีมที่เป็นศัตรูคู่แค้นกันอย่างยาวนาน แต่ก็จัดได้ว่าเป็นทีมอันดับต้นๆ ของยุโรปที่ผ่านการคว้าแชมป์โลก และแชมป์ยูโรมาด้วยกันแล้วทั้งคู่
แม้ว่าในเรื่องของการประสบความสำเร็จจะเป็นทางด้านของเยอรมนีที่เหนือกว่า ทั้งการคว้าแชมป์โลก 4 สมัยกับแชมป์ยุโรปอีก 3 สมัย ส่วนทางด้านฝรั่งเศสนั้นเป็นแชมป์โลกสมัยเดียวกับแชมป์ยุโรปอีก 2 สมัยเท่านั้น
แต่สิ่งหนึ่งที่อินทรีเหล็กยังไม่สามารถเทียบได้คือสถิติการคว้าแชมป์เมเจอร์ 2 รายการติดต่อกัน อย่างที่ฝรั่งเศสเคยทำได้เมื่อ ฟุตบอลโลก 1998 และ ยูโร 2000
เยอรมนีเพิ่งคว้าแชมป์โลกมาได้เมื่อปี 2014 ดังนั้นนี่คือด่านสำคัญที่พวกเขาจะต้องฝ่าเจ้าภาพไปให้ได้ หากต้องการทำสถิติให้เทียบเท่า แต่ทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน เพราะฝรั่งเศสเองก็มีเป้าหมายในการเป็นเจ้าภาพที่คว้าแชมป์ได้เป็นทีมแรกนับตั้งแต่ปี 1984 ซึ่งครั้งนั้นก็เป็นทีมตราไก่เองนั่นแหละที่สามารถคว้าแชมป์ได้
เหนือสิ่งอื่นใดเลย นี่คือการเจอกันในทัวร์นาเมนต์รอบสุดท้ายติดต่อกันเป็นครั้งที่สอง หลังจากเมื่อ 2 ปีก่อน ทั้งสองทีมเจอกันในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก ที่ประเทศบราซิล และเป็นเยอรมนีที่เอาชนะไปได้ 1-0 จากประตูชัยของ มัตส์ ฮุมเมลส์
นอกจากนี้ ทั้งสองทีมเพิ่งจะลงอุ่นเครื่องกันเมื่อไม่นานมานี้ที่ สต๊าด เดอ ฟร้อง และเป็นทางด้านของฝรั่งเศสที่เอาชนะไปได้บ้าง 2-0 จากโอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ และอองเดร-ปิแอร์ ชินญัก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนจดจำในวันนั้น กลับไม่ใช่ผลงานในสนาม แต่เป็นเหตุระเบิดในกรุงปารีสที่มีคนตายถึง 156 คน และบาดเจ็บจำนวนมาก และเหตุการณ์นั้นมีเสียงระเบิดดังเข้ามาถึงในสนาม ในช่วงที่นักเตะกำลังฟาดแข้ง ทำให้นักเตะสะดุ้งจนเกือบหยุดเล่นกันไป
เกมวันนั้นวุ่นวายแม้กระทั่งจบเกมแฟนบอลและนักเตะก็ยังไม่สามารถกลับบ้านกันได้ ต้องรออยู่ในสนามจนเจ้าหน้าที่คลี่คลายสถานการณ์
นักเตะของฝรั่งเศสในวันนั้น 19 คนอยู่ในทีมชุดนี้ ขณะที่เยอรมนีมีอยู่ 15 คนด้วยกัน
เชื่อว่าทุกคนยังจดจำภาพในวันนั้นได้ดี และไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำสองที่ สต๊าด เวโลโดรม
ดังนั้น ไม่ว่าใครที่มีชื่อลงสนามไปในเกมนี้จะต้องเล่นกันอย่างเต็มที่เพื่อลบภาพความทรงจำอันเลวร้ายนี้ออกไปจากสมองเสียที
โดยไม่สนว่าใครจะเป็นผู้ชนะก็ตาม