บทนำหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน 4 เมษายน 2562 : ต้อง‘บาซูก้า’
นายสันติธาร เสถียรไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ได้เขียนบทความเรื่อง “บาซูก้า” การคลัง-สิงคโปร์ยิงแล้ว ไทยเอายังไง? ระบุว่า สิงคโปร์ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ จนได้ฉายาว่า เป็น “บาซูก้า” ทางการคลัง ด้วยตัวเลข 11% ของ GDP หรือ 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และไม่ได้มีแต่สิงคโปร์ที่จัด “บาซูก้า” การคลังเพื่อพยุงเศรษฐกิจในวิกฤตรอบนี้ สหรัฐอเมริกาก็จัดกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ ขนาดกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 10% ของ GDP มาเลเซียเองยิ่งจัดหนักอัดฉีดมาตรการเศรษฐกิจมูลค่าถึง 17% ของ GDP
นายสันติธารระบุในบทความว่า วิกฤตรอบนี้รุนแรงมาก ต้องแก้ไขให้ทันท่วงที เราอาจนึกว่ารัฐ “ไม่มีเงิน” แต่ฐานะการคลังไทยเข้มแข็งกว่ามาเลเซียและสหรัฐอเมริกาเสียอีก หนี้ภาครัฐของไทยอยู่ที่ 41% ของ GDP เทียบกับมาเลเซียอยู่ที่กว่า 52% ของ GDP ในขณะที่อเมริกาอยู่ที่ประมาณ 107% และไม่ได้บอกว่าประเทศไทยต้องรีบควักกระเป๋าจัดบาซูก้าการคลังขนาด 10% ของ GDP หรือกว่าล้านล้านบาทแบบไม่ลืมหูลืมตา เพราะ “คุณภาพ” ก็สำคัญเช่นกัน มาตรการทางการคลังต้องไป “ถูกที่” เพื่อช่วยเหลือคนที่เปราะบางที่สุด ต้องไป “ถูกเวลา” คือช่วยเขาทันและช่วยนานพอให้พ้นระยะวิกฤต ในยามเผชิญ “สงคราม” เศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรงและซับซ้อนขนาดนี้ คุณภาพอย่างเดียวอาจไม่พอ การใช้กระสุนการคลังที่ “ถูกขนาด” และทันท่วงทีเป็นสิ่งสำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผู้รู้อีกหลายคนได้มีข้อเสนอสู้วิกฤตอีกเช่นกัน อาทิ นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร แนะให้รัฐออกกฎหมายกู้เงินไม่น้อยกว่า 1 ล้านล้านบาท เพื่อต่อสู้วิกฤตโควิดและปัญหาเศรษฐกิจที่จะตามมา อีกรายคือ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้รัฐใช้ยาแรงบาซูก้าทางการเงินการคลัง ใช้งบ 2 ล้านล้านบาท 12% ของ GDP ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและทุกภาคส่วน โยกงบที่ไม่จำเป็นมาใช้เพื่อแก้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น ก่อนจะลุกลามจนยากเกินแก้ไข เหล่านี้เป็นข้อแนะนำที่รัฐบาลพึงพิจารณา และต้องอธิบายให้ทุกส่วนในสังคมเข้าใจอย่างชัดเจน เพื่อขับเคลื่อนแก้ปัญหาไปพร้อมๆกัน
