ข้อเสนอของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ที่เห็นควรให้ นายอานันท์ ปันยารชุน เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อตีฝ่าวิกฤตความขัด แย้งทางการเมือง
เป็นข้อเสนอที่ทั้งมากด้วยความแหลมคมและมีความล่อแหลมอยู่ในขณะเดียวกัน
ล่อแหลมที่จะสร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นในทางการเมือง
เนื่องจาก “อำนาจ” ยังอยู่ในกำมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างเต็มเปี่ยม ไม่ว่าอำนาจทางการเมืองผ่าน 250 ส.ว.ผ่านพรรคพลังประชารัฐ
ไม่ว่าอำนาจทางการทหารผ่านผบ.เหล่าทัพ ไม่ว่าผบ.ทหารสูงสุด ไม่ว่าผบ.ทบ. ไม่ว่าผบ.ทร.ไม่ว่าผบ.ทอ. ไม่ว่าอำนาจผ่านผบ.ตร.
แหลมคมเพราะกระบวนการเช่นนี้เท่ากับชี้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จำใจต้องยอมรับต่อความล้มเหลวของตนเอง
เพราะหากไม่ล้มเหลวคงไม่ต้องถึงมือ นายอานันท์ ปันยารชุน
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อาจยังฝังใจในวีรกรรมบนพื้นฐานแห่งการตัดสินใจเปลี่ยนชื่อนายกรัฐมนตรีจาก พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ เป็น นายอานันท์ ปันยารชุน เมื่อเดือนมิถุนายน 2535
ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องดังกึกก้องในห้วงหลังสถานการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม
แต่จากสถานการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 มายังสถานการณ์หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 และหลังสถานการณ์การ เลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
ไม่เพียงทำให้ นายอานันท์ ปันยารชุน กลายเป็นชายชราในวัย 88 หากยังเท่ากับบีบบังคับโดยปริยายให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในจุดที่ต้องยอมรับผิดโดยอัตโนมัติ
พลันที่ยอมรับให้ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีเท่ากับยอมรับว่ารัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 เสียของ
เสียของกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกบังคับให้ถอย
การเสนอชื่อ นายอานันท์ ปันยารชุน เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีจึงไม่เพียงสะท้อนให้เห็นการแตกในทางความคิดอย่างลึกซึ้งภายในกลุ่มที่เคยเห็นด้วยกับรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เท่านั้น
หากยังเท่ากับไม่ยอมรับในความสามารถของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกด้วย
คำถามก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยอมรับได้หรือไม่