วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ พรรคฝ่ายค้านจะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 10 คน ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุชาติชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ พรรคฝ่ายค้านเปิดแรงด้วยข้อความในญัตติที่กล่าวหารัฐมนตรีแต่ละคนอย่างรุนแรง จนเกิดประเด็นล่อแหลม ซึ่งเป็นเหตุให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา แต่นายชวน หลีกภัย ประธานสภา และวิปรัฐบาล ต่างเห็นว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจสมควรที่จะดำเนินการต่อไปตามกำหนด คือ วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ อภิปรายไม่ไว้วางใจ และลงมติวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ดังนั้น กระบวนการการอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนกลั่นกรองความควรหรือไม่ควรในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้มีความสำคัญทั้งต่อนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย และยังมีความสำคัญต่อพรรคฝ่ายค้าน เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นการนำเอาข้อมูลมากล่าวหาและชี้แจงข้อกล่าวหา หากปรากฏว่าฝ่ายใดมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือน้อยกว่าย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นในคำอภิปรายไม่ว่าคำอภิปรายนั้นจะเป็นการกล่าวหาหรือว่าเป็นคำชี้แจง โดยเฉพาะรัฐมนตรีหากข้อมูลปรากฏเป็นที่เด่นชัดว่าไม่น่าไว้วางใจ แม้ในกระบวนการสภาเสียงพรรคร่วมรัฐบาลจะโหวตลงมติให้รัฐมนตรีทุกคนผ่านไปได้ แต่หากสังคมเกิดความกังขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพการบริหาร หรือพฤติกรรมที่ส่อไปในทางมิชอบ สังคมจะเป็นผู้ส่งกระแสไม่ไว้วางใจออกมา และหากพรรคร่วมรัฐบาลยังต้านกระแสนั้นต่อไปก็จะยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นในรัฐบาลถดถอย ซึ่งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ตัดสิน และผลการตัดสินใจมักจะออกมาในรูปการปรับคณะรัฐมนตรี ดังนั้น วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ ประชาชนต้องหาเวลาฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
