พรีวิว ยูโร 2020 กลุ่มเอฟ : This is Group of Death of EURO 2020

พรีวิว ยูโร 2020 กลุ่มเอฟ : This is Group of Death of EURO 2020

เดินทางมาถึงกลุ่มสุดท้ายของยูโรครั้งนี้ และก็ต้องบอกว่านี่คือกรุ๊ปออฟเดธประจำการแข่งขันเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากการเจอกันของคู่ชิงเมื่อ 5 ปีก่อนอย่าง ฝรั่งเศส กับ โปรตุเกส แล้ว พวกเขายังต้องเจอกับยอดทีมอย่าง “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี อีกต่างหาก โดยที่มี ฮังการี เป็นทีมที่ดูจะอ่อนที่สุดสำหรับกลุ่มนี้

แต่แค่การเจอกันของ 3 ทีมที่เคยครองแชมป์รวมกันถึง 6 ครั้ง ก็ทำให้แฟนบอลร้องซี้ดกันได้แล้วแน่นอน

ฮังการี

เฮดทูเฮด
พบ โปรตุเกส ชนะ 0 เสมอ 4 แพ้ 9 ยิงได้ 10 เสีย 30
พบ ฝรั่งเศส ชนะ 12 เสมอ 2 แพ้ 8 ยิงได้ 47 เสีย 31
พบ เยอรมนี ชนะ 10 เสมอ 10 แพ้ 13 ยิงได้ 61 เสีย 71
ผลงานดีที่สุดในยูโร : อันดับ 3 (1964)
ผลงานยูโร 2016 : รอบ 16 ทีมสุดท้าย (แพ้ เบลเยียม 0-4)

Advertisement

ฮังการีจัดได้ว่าเป็นทีมยักษ์หลับทีมหนึ่งของยุโรป หลังจากเคยคว้าอันดับ 3 กับ 4 เมื่อปี 1964 และ 1972 แต่ว่าหลังจากนั้นกว่าจะได้กลับมาเล่นรอบสุดท้ายต้องรอนานถึง 44 ปี แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถเข้ามาเล่น 2 หนติดต่อกันได้

โดย กุนซือที่คุมฮังการีชุดนี้ก็คือ มาร์โก้ รอสซี่ อดีตกองหลังชาวอิตาลี ที่เข้ามารับงานเมื่อปี 2018 ก่อนจะพาทีมเข้ารอบสุดท้ายได้ จากการเพลย์ออฟเอาชนะบัลแกเรีย ในรอบรองชนะเลิศ ก่อนที่รอบชิงจะชนะม้ามืดหนก่อนอย่างไอซ์แลนด์จนคว้าตั๋วในที่สุด

ที่น่าตกใจก็คือดาวซัลโวของพวกเขาในรอบคัดเลือก กับเป็นนักเตะในตำแหน่งกองหลังอย่าง วิลลี่ ออร์บาน จากอาร์เบ ไลป์ซิก ที่ทำไป 3 ประตู จาก 13 ประตูที่ทีมทำได้ทั้งหมด

Advertisement

ที่น่าเสียดายก็คือพวกเขาจะไม่มีโดมินิค โซบอสไล กองกลางที่ถือว่าดีที่สุดในฮังการีตอนนี้เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ ทำให้ชวดมาเล่นยูโรรอบสุดท้ายแบบน่าเจ็บใจ ทำให้ความหวังพวกเขาคงต้องอยู่ที่ดาวยิงจอมเก๋าอย่าง อดัม ซาไล แทน

โปรตุเกส

เฮดทูเฮด
พบ ฮังการี ชนะ 9 เสมอ 4 แพ้ 0 ยิงได้ 30 เสีย 10
พบ ฝรั่งเศส ชนะ 6 เสมอ 1 แพ้ 18 ยิงได้ 29 เสีย 49
พบ เยอรมนี ชนะ 3 เสมอ 5 แพ้ 10 ยิงได้ 16 เสีย 29
ผลงานดีที่สุดในยูโร : แชมป์ (2016)
ผลงานยูโร 2016 : แชมป์

แชมป์เก่าที่มีเป้าหมายจะป้องกันแชมป์ให้ได้ แต่ก็ต้องบอกว่ากว่าจะเข้ามารอบสุดท้ายได้ถือว่าเหนื่อยไม่น้อย เพราะพวกเขาจบเป็นเพียงอันดับ 2 ของกลุ่มเป็นรองยูเครนเสียด้วยซ้ำ ปัญหาของพวกเขาอยู่ที่วันไหนฟอร์มดีก็ดีใจหาย แต่ถ้าหลุดก็พร้อมจะพลาดได้ทุกเมื่อ

นับเป็นรายการใหญ่ 3 รายการติดต่อกันแล้วที่โปรตุเกสใช้งานกุนซือ เฟร์นันโด ซานโต๊ส รับหน้าที่กุมบังเหียน แม้ว่าฟุตบอลโลกที่ผ่านมาจะทำทีมตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น

แน่นอนว่าคีย์แมนของทีมฝอยทองก็คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่แม้ว่าจะอายุ 36 ปีเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นคนที่ทีมสามารถไว้ใจได้ อีกทั้งเขายังมีหนี้ความผิดหวังจากนัดชิงหนก่อนที่ได้รับบาดเจ็บ ที่หวังจะพาทีมเข้ารอบชิงให้ได้อีกหน

แถมโปรตุเกสชุดนี้ถือว่ามีผู้เล่นดาวเด่นอยู่อีกหลายคน ทั้งรูเบน ดิอาส, เชา แคนเซโล่, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, ดิโอโก้ โชต้า รวมถึง อังเดร ซิลวา ดังนั้นต้องบอกว่าชุดนี้ครบเครื่องทั้งแนวรับแนวรุกเลยก็ว่าได้

ฝรั่งเศส

เฮดทูเฮด
พบ ฮังการี ชนะ 8 เสมอ 2 แพ้ 12 ยิงได้ 31 เสีย 47
พบ โปรตุเกส ชนะ 18 เสมอ 1 แพ้ 6 ยิงได้ 49 เสีย 29
พบ เยอรมนี ชนะ 14 เสมอ 8 แพ้ 9 ยิงได้ 49 เสีย 46
ผลงานดีที่สุดในยูโร : แชมป์ (1984, 2000)
ผลงานยูโร 2016 : รองแชมป์ (ต่อเวลาแพ้ โปรตุเกส)

จากผลงานการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเมื่อ 3 ปีก่อน ทำให้พวกเขาเป็นเต็งลำดับต้นๆ ที่จะคว้าแชมป์ยุโรปครั้งนี้ไปครอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวกุนซืออย่าง ดิดิเยร์ เดสชองส์ ซึ่งเคยเป็นกัปตันทีมชาติพาทีมคว้าแชมป์โลก 1998 ต่อด้วยแชมป์ยุโรป 2000 ก็ลุ้นที่จะทำสถิติแบบเดิม แต่เปลี่ยนเป็นฐานะกุนซือ ดังนั้นเป้าหมายของฝรั่งเศสไม่มีอย่างอื่นนอกจากแชมป์เท่านั้น

ซึ่งฝรั่งเศสชุดนี้ยังคงยึดผู้เล่นจากที่คว้าแชมป์โลกมาเกือบยกชุด ทั้งฮูโก้ โยริส นายทวารกัปตันทีม แนวรับอย่าง ราฟาเอล วาราน, ลูก้าส์ แอร์น็องเดซ และบ็องฌาแมง ปาวาร์ ส่วนกองกลางก็มีจอมขยันอย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และปอล ป๊อกบา จอมทัพของทีม ขณะที่แนวรุก อองตวน กรีซมันน์ กับ คีเลียน เอ็มบัปเป้ พร้อมประสานงานกันเช่นเคย

ทว่าคราวนี้พวกเขาเติมพลังในแนวรุกด้วยการดึง คาริม เบนเซม่า กลับมาติดทีมชาติเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ด้วยความหวังว่าจะเป็นคีย์แมนสำคัญให้กับการพังประตูของทีมได้

เยอรมนี

เฮดทูเฮด
พบ ฮังการี ชนะ 13 เสมอ 10 แพ้ 10 ยิงได้ 71 เสีย 61
พบ โปรตุเกส ชนะ 10 เสมอ 5 แพ้ 3 ยิงได้ 29 เสีย 16
พบ ฝรั่งเศส ชนะ 9 เสมอ 8 แพ้ 14 ยิงได้ 46 เสีย 49
ผลงานดีที่สุดในยูโร : แชมป์ (1972, 1980, 1996)
ผลงานยูโร 2016 : รอบรองชนะเลิศ (แพ้ ฝรั่งเศส 0-2)

อดีตแชมป์โลกเมื่อปี 2014 ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะห่างไกลจากความสำเร็จในฟุตบอลยูโรมายาวนานกว่า 25 ปี แล้ว และผลงานในช่วงหลังภายใต้การคุมทีมของโยอาคิม เลิฟ ก็เริ่มมีคนตั้งคำถามมากขึ้นว่าหมดเวลาของเขาหรือยัง

ทำให้ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มไม่นาน ก็มีการประกาศวางมืออย่างชัดเจนหลังจากจบทัวร์นาเมนต์นี้ เท่ากับว่านี่คือทัวร์นาเมนต์สั่งลาของเลิฟ ที่อาจจะเป็นแรงใจอย่างหนึ่งให้นักเตะทำกันอย่างเต็มที่ เพื่อทิ้งทวนกุนซือคนนี้อย่างสมเกียรติ

อินทรีเหล็กชุดนี้ มีการดึงสองผู้เล่นประสบการณ์สูงกลับมาติดทีมชาติอีกครั้งในรอบหลายปี นั่นก็คือ มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์ และ โธมัส มุลเลอร์ โดยเฉพาะรายหลังที่ช่วงหลังพัฒนาฟอร์มขึ้นมาอย่างมาก จนเป็นกำลังสำคัญให้ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิก

นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยดาวเตะรุ่นใหม่ๆ ทั้งแซร์จ จินาบรี้, โยชัว คิมมิช, ไค ฮาเวิร์ตซ์, ติโม แวร์เนอร์ และยังมี จามาล มูเซียล่า ดาวรุ่งที่เลือกเล่นให้ทีมชาติเยอรมนี ซึ่งพร้อมจะเป็นอาวุธลับให้กับทีมได้

สรุป

อย่างที่บอกว่านี่คือกลุ่มแห่งความตาย การจะบอกว่าใครจะได้ผ่านเข้ารอบได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส, โปรตุเกส หรือว่า เยอรมนี ก็มีโอกาสจะเข้ารอบและตกรอบได้พอๆ กัน

หรืออีกวิธีหนึ่งที่จะผ่านเข้ารอบไปทั้งสามทีมได้ คงต้องเน้นเสมอกันเอง แล้วไปเก็บชัยชนะเหนือฮังการี ที่เมื่อถึงตรงนั้นประตูได้-เสีย จะมีส่วนสำคัญมากๆ เพราะใครจบอันดับ 3 อาจจะต้องลุ้นว่าจะได้เป็น 4 ทีมที่เข้ารอบหรือไม่ แถมเข้าไปก็ต้องเจอแชมป์กลุ่ม ซึ่งจะเป็นงานยากในรอบต่อไปอีก

ในขณะเดียวกัน จะมองข้ามฮังการีขนาดนั้นก็คงไม่ได้ เพราะคงไม่ยอมมาเป็นหมูให้เชือดง่ายๆ อยู่แล้ว

ฉะนั้นต้องบอกเลยว่ากลุ่มนี้น่าดูชมทุกนัดทีเดียว

โปรแกรมการแข่งขัน

15 มิถุนายน ฮังการี พบ โปรตุเกส เวลา 23.00 น.
15 มิถุนายน ฝรั่งเศส พบ เยอรมนี เวลา 02.00 น. (เช้ามืดวันที่ 16 มิถุนายน)
19 มิถุนายน ฮังการี พบ ฝรั่งเศส เวลา 20.00 น.
19 มิถุนายน โปรตุเกส พบ เยอรมนี เวลา 23.00 น.
24 มิถุนายน เยอรมนี พบ ฮังการี เวลา 02.00 น. (เช้ามืดวันที่ 25 มิถุนายน)
24 มิถุนายน โปรตุเกส พบ ฝรั่งเศส เวลา 02.00 น. (เช้ามืดวันที่ 25 มิถุนายน)

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image