160 ปีแห่งสัมพันธ์ “ไทย-เดนมาร์ก”

ปี 2561 นับเป็นปีสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เดนมาร์ก เพราะถือเป็นโอกาสแห่งการครบรอบ 160 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองโอกาสสำคัญดังกล่าว สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโคเปนเฮเกน นำโดยท่านเอกอัครราชทูตวิชิต ชิตวิมาน ได้จัดงานเลี้ยงรับรองขึ้นที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ในกรุงโคเปนเฮเกน โดยมีนายชัยสิริ อนะมาน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและอดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน ในช่วงปีพ.ศ. 2548-2550 เป็นประธานในงานเลี้ยงรับรองดังกล่าว

ท่านที่ปรึกษาชัยสิริกล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เดนมาร์ก สามารถนับย้อนไปได้ตั้งแต่เกือบ 400 ปีก่อนในรัชสมัยของพระเจ้าทรงธรรมแห่งกรุงศรีอยุธยา แต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อ 160 ปีก่อน ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.4) กับกษัตริย์เฟเดอริคที่ 7 แห่งเดนมาร์ก ผ่านการลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยมิตรภาพ การค้า และการเดินเรือ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2401 นับตั้งแต่นั้นมา ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิด โดยเฉพาะความสัมพันธ์อันพิเศษระหว่างราชวงศ์ไทยและราชวงศ์เดนมาร์ก รวมถึงความร่วมมือที่ใกล้ชิดทั้งด้านการค้าการลงทุน ที่สำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนต่อประชาชน

ท่านทูตวิชิตกล่าวขอบคุณผู้มาร่วมงาน

ขณะนี้ถือได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหภาพยุโรป(อียู) และเดนมาร์กถือว่าเข้าสู่ศักราชใหม่ นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ไทยได้ต้อนรับคณะผู้แทนจากชาติสมาชิกอียูหลายประเทศ ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรีก็เพิ่งเสร็จสิ้นการเดินทางเยือนอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นการเยือนยุโรปครั้งแรกของท่านนายกฯในรอบ 4 ปี ในปีนี้จะมีการหารือเชิงนโยบาย ครั้งที่ 4 ระหว่างกันที่กรุงโคเปนเฮเกน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันในทุกมิติ ผมเชื่อมั่นว่าทุกอย่างกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง และความสัมพันธ์ระหว่างกันมีอนาคตที่สดใส ทั้งนี้หวังว่าไทยจะได้ต้อนรับคณะผู้แทนระดับสูงจากเดนมาร์กในเร็วๆ นี้

ท่านที่ปรึกษาชัยสิริบอกด้วยว่า กรุงเทพยังเป็นที่ตั้งเริ่มแรกของบริษัทอิสต์เอเชียติกของเดนมาร์กตั้งแต่ปีพ.ศ. 2427 ก่อนที่จะมีการเปิดสำนักงานใหญ่ในโคเปนเฮเกนและกลายเป็นหนึ่งบริษัทเดินเรือและค้าขายที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ปัจจุบันบริษัทเดนมาร์กมากมายที่ทำธุรกิจกับไทย และบางบริษัท อาทิ เอคโค่และแพนดอร่า ต่างก็มีการตั้งโรงงานในไทย ขณะที่บริษัทของเดนมาร์กยังสามารถแสวงหาโอกาสที่ดีและหาลู่ทางการลงทุนในโรงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(อีอีซี) ซึ่งสอดรับกับนโยบายไทยแลนด์4.0 ของไทยได้อีกด้วย

Advertisement
การแสดงวัฒนธรรม2ชาติ

ถึงแม้ท่านทูตวิชิตเพิ่งจะมารับหน้าที่สำคัญได้เพียงไม่กี่เดือน แต่การจัดงานดังกล่าวก็ได้รับการตอบรับที่ดียิ่ง มีแขกจากหลากหลายแวดวงมาร่วมงาน ทั้งจากคณะทูตานุทูต ผู้แทนระดับสูงจากภาครัฐและภาคเอกชนของเดนมาร์ก อาทิ นายมิเคล เอเรนไลค์ เลขาธิการพระราชวัง นายบยานห์ แอปุ คอนเฟร็ท รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก นายเอริค เลียดทบ โบซัว ที่ปรึกษาพิเศษ กองกำลังทหารรักษาพระองค์ นายการ์สเตน เด็งเคอ นิวเซน กงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำโคเปนเฮเกน และนายเอริค ลาอูเซน อธิบดีกรมเอเชีย ลาตินอเมริกา และโอเชียเนีย ที่มาเข้าร่วมในฐานะแขกเกียรติยศและตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศเดนมาร์ก ไปจนถึงผู้ที่ถือว่าเป็น “มิตรของประเทศไทย” มาร่วมงานราว 200 คน

ที่น่าปลื้มใจแทนคือแม้ช่วงนี้จะเป็นช่วงปิดภาคฤดูร้อนที่คนเดนมาร์กจะหยุดทำงาาน แต่แขกหลายคนก็เดินทางกลับจากบ้านพักฤดูร้อนเพื่อมาเข้าร่วมงานครั้งนี้ จนพูดได้ว่ามีผู้แทนที่มาเข้าร่วมงานมากกว่าที่คาดหมายไว้ ทำเอาสนามหญ้าบริเวณด้านหน้าทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโคเปนเฮเกน เต็มไปด้วยผู้คนที่มาพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม และชิมอาหารไทยหลากหลายทั้งจากพ่อครัวของท่านทูตวิชิต และร้านอาหารไทยชื่อดังหลายร้านในเดนมาร์กที่จัดอาหารอร่อยมาให้ชิมแบบไม่อั้น ซึ่งรวมถึงร้านอาหารดังอย่าง “กิน กิน” ที่ได้รางวัลมิเชลินรับประกันความโด่งดังด้วยการนำเสนออาหารไทยแนวฟิวชั่น ไปจนถึงขนมไทยอย่างทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ตะโก้ และลูกชุบที่ส่งตรงไปจากกรุงเทพฯ

อาหารไทยได้รับความนิยม

แขกทุกคนที่มาร่วมงานต่างสนุกสนานไปกับการแสดงดนตรีบทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยศิลปินชาวเดนมาร์กวง Balslev/Moth Duo Band และการแสดงนาฏศิลป์ไทยโดยคณะนักแสดงจากหลักสูตรวิชานาฏศิลป์ไทย คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ที่จัดชุดการแสดงที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศได้อย่างกลมกลืน เรียกความสนใจและรอยยิ้มจากผู้ร่วมงานได้อย่างงดงาม

Advertisement

ท่านทูตวิชิตได้กล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานทุกคนว่าได้เป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนถึงความร่วมมืออันเป็นมิตรที่มีต่อกัน ซึ่งช่วยทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งและใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ รวมถึงระหว่างประชาชนต่อประชาชน ผู้ที่มาร่วมงานในวันนี้ไม่ได้มีเพียงเพื่อนชาวเดนมาร์กและชาวต่างชาติ แขกคนสำคัญทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนของเดนมาร์ก แต่ยังมีผู้ที่ถือเป็น “มิตรของประเทศไทย” ทั้งที่พวกเขาไม่เคยไปทำงานหรืออาศัยอยู่ในไทยเลยก็ตาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดผูกพันที่มีอยู่อย่างยาวนานระหว่างไทย-เดนมาร์ก

รับชมการแสดงด้วยความสนใจ

ท่านทูตวิชิตกล่าวด้วยว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ในวันนี้มีแขกผู้ใหญ่หลายท่านที่มาร่วมงาน ทุกคนถือเป็นมิตรที่มีน้ำใจต่อไทย และทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างไทย-เดนมาร์ก ทั้งยังขอบคุณสำหรับความร่วมมืออันดีที่มีให้กันตลอดมาทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่ผูกพันทั้งสองประเทศมาตลอด 160 ปีของความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทั้งยังเชิญชวนให้แขกทุกท่านไปร่วมงานเทศกาลไทยที่กำลังจะจัดขึ้นที่สวนสาธารณะเฮาเน่อ พาร์คเค่นด้วย

ด้านอธิบดีกรมเอเชีย ลาตินอเมริกา และโอเชียเนีย กระทรวงต่างประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเคยประจำการอยู่ในประเทศไทยในระหว่างปี 2537-2540 กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเดนมาร์ก-ไทย มีความใกล้ชิดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในระดับราชวงศ์ ขณะที่ความสัมพันธ์ของประชาชนต่อประชาชนก็มีความลึกซึ้ง เป็นความผูกพันกันด้วยใจต่อใจ ถือเป็นความสัมพันธ์อันลึกซึ้งเข้มแข็ง มีบริษัทของเดนมาร์กมากกว่า 100 บริษัทที่ไปลงทุนในไทย ทำให้เกิดการจ้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่สหภาพยุโรปได้มีมติเปิดทางให้มีการติดต่อกันกับไทยในทุกระดับ และในอนาคตก็เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการหารือทางการเมืองระหว่างกันต่อไป

ศิลปินชาวเดนมาร์กวง Balslev/Moth Duo Band บรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์

การจัดงานฉลอง 160 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เดนมาร์ก ยังเกิดขึ้นระหว่างที่คณะกรรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เดินทางมาศึกษาดูงานในเดนมาร์ก จึงได้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองดังกล่าวด้วย

160 ปีในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เดนมาร์ก ไม่เพียงแต่จะถือว่ายาวนานอย่างยิ่ง แต่ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่มีความใกล้ชิดและลึกซึ้งในทุกมิติ ที่ทำให้ไทย-เดนมาร์กกลายเป็นประเทศที่แม้จะอยู่ห่างไกล แต่กลับมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิด โดยเฉพาะในภาคประชาชน ที่เป็นเครื่องยืนยันได้ดีกว่าสิ่งใดว่า ความแตกต่างไม่ว่าจะในด้านใด ก็ไม่อาจกั้นสายสัมพันธ์ที่ทักทอร้อยรัดเราให้อยู่ใกล้ชิดและผูกพันกันได้เช่นนี้

160 ปีที่ผ่านพ้นมา จึงเป็นรากฐานอันมั่นคงแห่งความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศที่จะสืบทอดต่อเนื่องไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image