ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | ชาคร ศิริสุวรรณสิทธิ์ |
เผยแพร่ |
เจ้าหญิงรีมา บินต์ บันดาร์ อัล-ซาอุด ลูกสาวของเจ้าชายบันดาร์ บิน สุลต่าน อดีตเอกอัครราชทูต ซาอุดีอาระเบียประจำสหรัฐอเมริกา ได้รับโอกาสอันแสนท้าทายเช่นเดียวกับผู้เป็นพ่อ ในฐานะเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย ประจำสหรัฐอเมริกา
เจ้าหญิงรีมา ผู้ที่เคยผ่านงานด้านสิทธิสตรีในซาอุดีอาระเบีย แม้ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการทูตมาก่อนแต่เวลานี้ ต้องทำหน้าที่ฟื้นคืนชื่อเสียงชองประเทศบ้านเกิด หลังเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรม “จามาล คาช็อกกี” คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ชาวซาอุดีอาระเบีย ที่สถานกงสุลซาอุฯ ในนครอิสตันบูล
เหตุการณ์ซึ่งสหรัฐอเมริการะบุว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียในการกำจัดผู้วิพากษ์วิจารณ์ ขณะที่รัฐบาลซาอุฯปฏิเสธอย่างแข็งขัน
เจ้าหญิงจากราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย แม่เลี้ยงเดี่ยวผู้เลี้ยงดูลูกสองคน เป็นนักเคลื่อนไหวที่ทุ่มเทเรียกร้องสิทธิให้กับผู้หญิงในประเทศ
ล่าสุดเจ้าหญิงทำงานให้กับ “การกีฬาแห่งซาอุดีอาระเบีย” โดยมีโครงการสนับสนุนให้มีการศึกษาด้านกีฬาให้กับเด็กผู้หญิงในซาอุดีอาระเบียมากขึ้น
นอกจากนี้เจ้าหญิงยังเคยผ่านงานภาคธุรกิจในฐานะ ประธานบริหารของห้างสรรพสินค้าหรูอย่าง “ฮาร์วีย์ นิโคลส์” ในกรุงริยาด และยังเคยทำแคมเปญสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านมด้วย
เจ้าหญิงรีมาคุ้นเคยกับสหรัฐอเมริกาจากประสบการณ์ใช้ชีวิตในกรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกาในฐานะลูกสาวเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียระหว่างปี 1973 ถึงปี 2005
และในเวลานี้เจ้าหญิง ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านพิพิธภัณฑ์ศึกษา จากมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน ในปี 1999 กำลังเดินตามรอยเท้าผู้เป็นพ่อ
ในฐานะที่เจ้าหญิงทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ผู้ที่ต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักโดยเฉพาะจากนักการเมืองสหรัฐว่าอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารนายคาช็อกกี เจ้าหญิงผู้ที่เชี่ยวชาญการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษก็เป็นผู้ที่ออกมาปกป้องมกุฎราชกุมารในเวทีนานาชาติหลายครั้ง นอกจากนี้ยังชื่นชมนโยบายการปฏิรูปสังคม เช่นการยกเลิกการห้ามผู้หญิงขับรถ โดยระบุว่าเป็น “วิวัฒนาการ” ซึ่งไม่ใช่ “การเปลี่ยนตามตะวันตก”
เจ้าหญิงระบุว่าสถานการณ์สิทธิของผู้หญิงในซาอุฯนั้นก้าวหน้าไปมาก แต่ก็ยังคงหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับการจับกุมนักเคลื่อนไหวหญิงเมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อน
เวลานี้เจ้าหญิงรีมา มีความท้าทายรออยู่โดยเฉพาะเมื่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเริ่มถอยห่างความสัมพันธ์จากซาอุดีอาระเบีย
แม้แต่ ทรัมป์ เองก็ยังถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับท่าทีสนับสนุนซาอุดีอาระเบียอย่างเต็มที่เช่นกัน