ที่มา | นสพ.มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | ปิยมิตร ปัญญา piyamitara@gmai;.com |
เผยแพร่ |
ราวต้นเดือนมกราคมปีนี้ คือหลายวันสุดท้ายของการคงอยู่ของ “รัฐกาหลิปอิสลาม” หรือ “กาลิเฟต” ของกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) พื้นที่สุดท้ายของกาลิเฟต คือ บากูซ เมืองเล็กๆ ที่แทบร้างผู้คนบริเวณชายแดนทางตะวันออกของซีเรียตรงกันข้ามกับจังหวัดอันบาร์ของอิรัก
อากาศแห้ง แต่เย็นยะเยือก เพราะอยู่ระหว่างกลางฤดูหนาวในพื้นที่พอดิบพอดี
คำถามคือ ณ เวลานั้น อาบู บักการ์ อัล-บักห์ดาดี้ อยู่ที่ไหน?
คืนหนึ่งในช่วงหลายวันสุดท้ายนั้น ชายที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในโลก เดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งเพื่อพบปะกับบรรดา “ผู้ช่วย” ที่ยังคงรอดชีวิตเหลืออยู่
อัล-บักห์ดาดี้ หลงเหลือคนสนิทที่ภักดีเพียงไม่กี่สิบคนแล้ว คนเหล่านั้นผ่านการพิสูจน์มานับครั้งไม่ถ้วน ด้วยการสู้รบน้อยใหญ่ และความโกลาหลอลหม่านที่เกิดขึ้นขณะกองกำลังไอเอสถอยร่นแบบไม่เป็นขบวนมาจนมุมอยู่ที่บากูซแห่งนี้
เสียงปืนยังปะทุอยู่เป็นระยะๆ จากที่ไหนสักที่ห่างออกไป สลับเป็นครั้งคราวกับเสียงระเบิดทึบๆ จากอีกที่ใดที่หนึ่ง เหมือนกับทุกๆ คืนที่ผ่านมาในช่วงเวลานานหลายเดือนขณะที่ที่มั่นน้อยใหญ่ของไอเอสทะยอยถูกตีแตกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากฝีมือของกองกำลังเคิร์ดภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตกที่ใช้ชื่อว่า กองทัพประชาธิปไตยซีเรีย (เอสดีเอฟ)
บนท้องฟ้า โดรนติดอาวุธของกองทัพอเมริกันบินวนไปมาไม่รู้เหน็ดเหนื่อย สอดส่ายหา “เป้าหมาย” เบื้องล่าง
ถัดออกไปทางตะวันออกเพียงไม่กี่หมู่บ้าน กองกำลังเคิร์ดกระจายตัวยึดที่มั่นตามยุทธวิธีระหว่างแนวซากปรักหักพังที่เพิ่งเกิดขึ้นสดใหม่ไม่นานที่ผ่านมา หลังการสู้รบดุเดือดระลอกแล้วระลอกเล่าผ่านพ้นไป เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีระลอกสุดท้าย เข้าใส่ที่มั่นสุดท้าย ในเมืองที่ไม่ปรากฏอยู่ในพื้นที่สากลทั่วไปแห่งนี้
สมาชิกเดนตายของไอเอสที่ยังหลงเหลืออยู่ก็เตรียมการรับมือ เพื่อป้องกันพื้นที่ซึ่งนับวันยิ่งดูเหมือนเป็นที่มั่นสุดท้ายของพวกตนมากยิ่งขึ้นทุกที แตกต่างกันลิบลับกับความรู้สึกเมื่อ 4-5 ปีก่อน เมื่อครั้งที่พวกเขาบุกกวาดต้อนยึดทรัพย์สินเมืองแล้วเมืองเล่าตั้งแต่อิรักจนลึกเข้าไปในซีเรีย
ตอนนี้พวกเขาหลงเหลือเพียงบากูซ เมืองที่เป็นเพียงจุดเล็กๆ จุดหนึ่งริมฝั่งลำน้ำยูเฟรติส เท่านั้น
แต่กำลังเป็นเมืองที่จะถูกจำหลักไว้ในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยในฐานะเป็นพื้นที่สุดท้ายที่ไอเอสสู้ศึกสุดท้ายของตนเองแล้วพ่ายแพ้
ในที่สุด กาลิเฟต ก็ถูกพิชิต ทำลายลงจนได้
ภายในบ้านหลังเล็กแห่งนั้น อัล-บักห์ดาดี้ ในสภาพอ่อนล้าอย่างยิ่ง แต่กราดเกรี้ยวและหวาดระแวงอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตอีกครั้ง
ในบ้านหลังนั้น ในคืนนั้น นักรบต่างชาติกลุ่มหนึ่งซึ่งใกล้ชิดกับบรรดา “คนวงใน” ของ อัล-บักห์ดาดี้ เลือกลงมือสังหารผู้นำไอเอสผู้นี้!
******
มาร์ติน ชูลอฟ ผู้สื่อข่าวประจำภูมิภาคตะวันออกกลางของ เดอะ การ์เดียน ระบุว่า ปฏิบัติการลอบสังหารในคืนนั้นได้รับการยืนยันจากหน่วยข่าวกรองของ 3 ประเทศ บวกกับ “แหล่งข่าว” ที่รู้เรื่องในรายละเอียดดีในบากูซอีก 2 ราย อีกบางคนไม่ล่วงรู้ในรายละเอียดแต่ให้คำบอกเล่าที่สอดคล้องต้องกัน
ที่น่าสนใจคือไม่มีใครรู้ถึงรายละเอียดดีพอว่าใครเป็นใครในกลุ่มผู้ลงมืออุกอาจในครั้งนั้น สิ่งที่พอจะรับรู้ได้ก็คือ กลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนที่รออยู่ในบ้านก่อนแล้วเป็นฝ่ายเริ่มต้นระดมยิงเข้าใส่ อัล-บักห์ดาดีและคนสนิทที่ทำหน้าที่อารักขา ทำให้ทั้งหมดเผ่นหนีออกจากบ้านหลังเล็กที่เพิ่งเดินทางมาถึงได้ไม่นานหลังนั้นในสภาพทุลักทุเลทันทีทันควัน
“เราแน่ใจในเรื่องนี้” เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของชาติยุโรปผู้หนึ่งยืนยันอย่างนั้น “เราไม่รู้ว่าสภาพของเขาเป็นอย่างไร บาดเจ็บหรือไม่ แต่เรารู้มาว่า มีความพยายามจะจัดการเก็บหมอนี่แน่นอน”
ตามรายงานของหน่วยข่าวกรองจากชาติในภูมิภาคและชาติตะวันตก ระบุตรงกันว่า อัล-บักห์ดาดี้ หลบหนีออกจากบากูซ มุ่งหน้าสู่ทะเลทรายซีเรียในราววันที่ 7 มกราคม
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจก็คือ ก่อนหน้านั้นไม่มีใครล่วงรู้มาก่อนว่า อัล-บักห์ดาดี้ อยู่ที่บากูซ ยกเว้นสมาชิกไอเอสที่ถูกยึดถือเป็น “คนสนิทวงใน” ของผู้นำขบวนการก่อการร้ายรายนี้จริงๆ และอาจบางที คงมีอีกเพียงกลุ่มเดียวที่รู้เรื่องนี้ดี นั่นคือกลุ่มผู้ที่ลงมือปฏิบัติการลอบสังหารครั้งนี้นั่นเอง
เมื่อมีคนรู้น้อยมากว่า อัล-บักห์ดาดี้ เคยอยู่ที่นี่ ก็ยิ่งมีคนรู้น้อยมากขึ้นไปอีกว่า เขาไปไหนกันแน่เมื่อเผ่นหนีออกจากบากูซ
การคาดเดาที่ดีที่สุด จากคนที่เคยรู้จักมักคุ้นเป็นการส่วนตัวกับอัล-บักห์ดาดี้ ก็คือ เชื่อว่าเขาเล็ดรอดหลบข้ามแดนกลับเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่จังหวัดอันบาร์ของอิรัก
เมืองแรกที่ไอเอสตั้งหลักแหล่ง ลงหลักปักฐานเปิดเครือข่ายซื้่อขายของเถื่อน สะสมทุนสั่งสมอาวุธ ก่อนรุกคืบเข้ามาในซีเรีย
ผู้คนในบากูซ เอง น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องเหตุการณ์ในคืนนั้น แต่ตระหนักถึง “ความผิดปกติ” ที่เกิดขึ้นตามมาได้เป็นอย่างดี
หลายคนเล่าว่า สมาชิกไอเอสที่พวกเขารู้จักล้วนได้รับใบปลิวที่มีเนื้อหาตรงกันหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น
เนื้อหาในใบปลิวระบุว่า ให้ทุกคนสามารถ “ประหารได้ทันทีที่พบเห็น” ไม่ว่าจะพบเจอที่ไหนและเมื่อใดก็ตาม
ชื่อในใบปลิวที่เหมือนคำสั่งฆ่านั้นระบุไว้ว่าคือ “อาบู มูอัท อัล-จาไซรี” ผู้นำนักรบต่างชาติจากแอฟริกาตอนเหนือ!
******
จูมาอะห์ ฮัมดี้ ฮัมดาน ชาวเมืองบากูซ ที่ลอบหลบหนีออกมาจากตัวเมืองเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ บอกว่า ในช่วงนั้นทุกคนในเมืองรู้ดีว่า “บางอย่างร้ายแรงมาก” เกิดขึ้น
“เราออกจากบ้านไปไหนมาไหนไม่ได้” ฮัมดาน วัย 53 ปีที่หลบหนีออกมาจากหมู่บ้าน เคชมา เล่า “เพราะข้างนอกนั่นมีบางอย่างที่เราไม่อยากเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องเกิดขึ้นมา คนของบักห์ดาดี้รบกับพวกแอฟริกาเหนือไปทั่ว อันตรายมากเกินไป”
โฮดา มูธานา สตรีอเมริกันที่ถูกพบในค่ายกักกันทางตะวันออกของซีเรีย ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในค่ายกักกันของไอเอสมาตั้งแต่ขบวนการก่อการร้ายนี้เริ่มถอยร่นแบบไม่เป็นขบวน เล่าว่า การสู้รบกันเองระหว่างสมาชิกไอเอส ต่างกลุ่ม ต่างฝ่ายกันที่เคชมาเริ่มต้นมาก่อนหน้าเกิดการลอบสังหารนานหลายเดือน
มีหลายกลุ่มเหลือเกินที่ถูกความจำเป็นของสงครามและการสู้รบกวาดต้อนมารวมกันไว้ที่นี่ เธอบอก มีทั้งพวกตูนีเซีย พวกรัสเซีย และอื่นๆ
“วันหนึ่งมี ชีค สองรายถูกทรมาน แล้วก็ประหารชีวิต คนนึงมาจากจอร์แดน อีกคนมาจากเยเมน ไอเอสพยายามกวาดล้างทุกๆ คน ไม่ว่าใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์”
ไม่มีใครรู้ชัดเจนว่า นั่นคือต้นสายปลายเหตุของความพยายามวางแผนลอบสังหารดังกล่าวหรือไม่
แต่ที่แน่นอนก็คือ ไม่นานหลังจาก อัล-บักห์ดาดี้ หลบหนีออกจากบากูซ ที่มั่นสุดท้ายของไอเอสก็ถึงกาลอวสาน
หลังจากเปิดศึกกันมาแบบนองเลือด สู้รบกันแบบเลือดเย็นต่อเนื่องถึง 6 สัปดาห์ ทุกอย่างก็เป็นอันยุติ
นักรบเดนตายชุดสุดท้ายของไอเอสค่อยๆ ทะยอยกันเปิดเผยตัวเองออกมาจากที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง จากบังเกอร์ กองซากปรักหักพัง และจากอุโมงค์ภายใต้ซากอิฐซากปูนทั้งหลาย จนดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
ผู้คนที่รวมๆแล้วมีไม่น้อยกว่า 50,000 คนโผล่ออกมาจากซอกมุมของเมืองที่แต่เดิมทุกคนเข้าใจเอาว่าถูกทิ้งร้างไปแล้ว และอย่างมากก็สามารถซุกซ่อนได้เพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น
หนึ่งในจำนวนนั้นหลงเหลือขาเพียงข้างเดียว สภาพของทุกคนเหนื่อยล้า อ่อนระโหยอย่างยิ่ง…
เป็นฉากยุติการสู้รบที่แม้แต่ผู้พิชิตชัยชนะยังตกตะลึง จังงัง
******
“ไอเอส” กับ “การทำลายล้าง” ดำรงอยู่คู่กันมานับตั้งแต่วาระแรก ที่ อาบู บักการ์ อัล-บักห์ดาดี้ อวดอ้างสถาปนา กาลิเฟต ของตนขึ้นมา แทบทุกเมืองน้อยใหญ่ที่ ไอเอส ยกทัพเข้าไปยึดครองตกอยู่ในสภาพปรักหักพัง เสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ
ในทางหนึ่งนั้นเกิดขึ้นจากน้ำมือกลุ่มขบวนการหัวรุนแรงสุดโต่งนี้เอง ที่คำนึงถึงเพียงการสู้รบ ยึดครอง กดขี่ ไม่ได้ปกครอง
ในอีกทางหนึ่งเกิดขึ้นจากฝูงบินของฝ่ายพันธมิตรเหนือท้องฟ้าที่โฉบเข้าหาแล้วทำลายเป้าหมายแหล่งหลบซ่อนของไอเอสไม่หยุดหย่อน
รัคก้า และ โคเบน ในซีเรียหลงเหลือเพียงกองอิฐ กองปูน ปรักหักพังเป็นพะเนิน
ในอิรัก เมืองอย่าง ฟัลลูจาห์, ติกริต, รามาดี้ และ โมซุล ยังคงทิ้งส่วนที่ถูกทำลายล้าง ส่วนที่ใช้การไม่ได้อีกต่อไปอยู่ให้เห็นเนิ่นนานหลายปีหลังจากที่ไอเอสถูกขับให้ถอยร่นหลบหนีออกมาแล้ว
บากูซ เล่า?
บนถนนสายหลักเข้าสู่บากูซ ระเกะระกะไปด้วยหลุมบ่อที่เกิดจากฝีมือของทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นซึ่งกันและกัน นี่คือถนนสายเดียวสำหรับใช้เข้าและออกจากทุกหมู่บ้านในเมืองแห่งนี้
บ้านเรือนหลายหลังหลงเหลือเพียงส่วนเสี้ยว เช่นเดียวกับสิ่งที่เคยเป็นโรงงานหลายแห่งของเมือง
ดูไปเหมือนก้อนเค้กคอนกรีตประดับประดาอยู่บนปผืนฝุ่น ปิ๊กอัพทรุดโทรม เสียหาย ทิ้งไว้ระเกะระกะ เหมือนของเล่นในสนามเด็กเล่นกว้างใหญ่
ทั้งเมืองไม่เหลือสิ่งปลูกสร้าง ดีๆ อยู่เลยแม้แต่หลังเดียว!
ความเสียหาย เจ็บปวด ทุกข์ทรมานที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเล่า ยิ่งท่วมท้นมหาศาลนัก
“บ้านเราพังไปหมด ไม่เหลือ แต่สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อเด็กๆ ของเรา หนุ่มสาว ผู้เฒ่าผู้แก่ของเรายิ่งเลวร้ายยิ่งกว่ามากนัก” รัดวาน ชัมซี ผู้เฒ่าซึ่งเคยเป็นเจ้าของร้านขายสบู่อยู่ที่ อัล-บับ ในบากูซ ก่อนที่จะทนไม่ไหวต้องหลบหนีมาอยู่กับผู้อพยพในค่ายที่ อัล-ฮอวาล บอกไว้อย่างนั้น
“มันเหมือนกับพยายามปะติดปะต่อเปลือกไข่ที่ถูกทุบแตกให้กลับมาเป็นฟองใหม่ ยังไงยังงั้น”
จิตใจคน เปราะบางเหมือนเปลือกไข่ไก่ หรือสิ่งที่พวกเขาได้รับมานั้่นสาหัสสากรรจ์ยิ่งกว่าแรงค้อนกระหน่้ำหลายเท่านักกันแน่?