คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส : วันสุดท้ายของรัฐอิสลาม (จบ)

รัฐอิสลาม

คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส : วันสุดท้ายของรัฐอิสลาม (จบ)

วันเวลาสุดท้ายของรัฐกาหลิปอิสลาม ดินแดนสุดท้ายของรัฐกาหลิปอิสลาม ล้วนสิ้นสุดลงที่ บากูซ เมืองเล็กๆ ชายแดนติดต่อกับอิรัก

คำถามที่น่าสนใจก็คือ ทำไมต้องเป็นบากูซ?

เพราะเป็นผลมาจากการถอยร่นไม่เป็นขบวนอย่างต่อเนื่อง ยิ่งถอยยิ่งลึก ยิ่งมุ่งหน้าสู่ดินแดนโดดเดี่ยว กลางทะเลทรายไกลสุดขอบประเทศ ห่างที่สุดจากอิทธิพลของระบอบการปกครอง บาชาร์ อัล อัสซาด อย่างนั้นหรือ

หรือทุกอย่างเกิดขึ้นโดยเจตนา เป็นไปตามแผนบางประการที่พรางอยู่เบื้องหลัง?

Advertisement

อัดนัน อาฟริน โฆษกของกองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (เอสดีเอฟ) ที่ได้รับการหนุนหลังจากชาติตะวันตก เล่าว่า เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา เมื่อเอสดีเอฟยกกำลังฝ่าทะเลทรายมาถึง และบุกโจมตีที่นี่เป็นครั้งแรกนั้นการต่อต้านของไอเอสหนาแน่นและดุเดือดเกินคาด

เอสดีเอฟถึงกับเสียพื้นที่แนวรบ ต้องล่าถอยห่างออกมา มีเพียงการรุกลงมาจากทางเหนือเท่านั้นที่สามารถคืบหน้าได้

คำบอกเล่าของคนในท้องถิ่นยิ่งน่าสนใจ แม้จะเป็นไปตามแบบฉบับของข้อมูลที่ออกจากปากกองกำลังไอเอส ที่มักเป็นไปในทำนองลับลวง หลอกล่อเกินจริงทุกครั้งไปก็ตาม

Advertisement

จากปากคำของนักรบไอเอส กองทัพของพวกตนอาจถูกโจมตีแตกพ่าย เสียเมืองแล้วเมืองเล่า แต่ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ที่เทือกเขาและทิวเนินริมขอบแห่งบากูซแน่นอน

ที่นี่คือที่ซึ่งพวกเขาจะได้รับชัยชนะที่ชี้ขาดการศึกทั้งมวลต่างหาก

คริสทอฟ รอยเตอร์ แห่งแดร์ สปีเกล อธิบายความเป็นไปได้ที่ส่อเค้าจะเป็นจริงมากกว่าเอาไว้ว่า ไอเอสอาจจงใจเลือก บากูซ เป็นแหล่งปักหลักสุดท้าย

เหตุผลเพราะว่า ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี่เอง บากูซ เคยเป็นแหล่งซ่องสุมสำคัญของบรรดานักค้าของเถื่อนสารพัด ด้านตะวันออกของตัวเมืองที่เป็นชายแดนติดต่อกับอิรักมีลาดเนินสูงชัน เลาะลัดตัดสลับกันซับซ้อน

อีกฟากหนึ่งของแนวชายแดนด้านตรงกันข้าม ก็คือ จังหวัดอันบาร์ ของอิรัก ซึ่งหน่วยข่าวกรองของหลายชาติระบุตรงกันว่า เป็นสถานที่ซึ่ง อาบู บักการ์ อัล บักห์ดาดี ผู้นำไอเอสมุ่งหน้าไปเมื่อเดือนมกราคม หลังการลอบสังหาร

แล้วหายตัวไปเหมือนกลายเป็นอากาศธาตุที่นั่น

ในความเห็นของรอยเตอร์ ไอเอสไม่เพียงขึ้นชื่อว่าเป็นนักวางแผนระยะยาวชั้นเซียนเท่านั้น ยังเป็นนักขุดอุโมงค์ชั้นยอดอีกด้วย ไม่ว่าจะเชื่อมโยงหรือได้รับแรงบันดาลใจมาด้วยหรือไม่ แต่อุโมงค์ของไอเอส ทั้งลึกทั้งซับซ้อน เทียบได้กับอุโมงค์ใต้ดินของเวียดกงในยุคสงครามเวียดนามได้เลยทีเดียว

ปรากฏการณ์ขุดอุโมงค์ที่ว่านี้ ไอเอสเริ่มใช้กันมาตั้งแต่ต้นปี 2014 เพราะเริ่มมีการพบมากขึ้นเรื่อยๆ มานับตั้งแต่ตอนนั้น โดยเฉพาะในจุดที่พวกเขาคิดว่าอาจถูกโจมตี อุโมงค์ที่เคยตรวจสอบพบมีทั้งในเมืองสำคัญที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของรัฐกาหลิปอิสลามอย่าง ร็อกเกาะ เรื่อยไปจนถึง โมซุล

แต่ละแห่งลึกไม่น้อย 5-6 เมตร ภายในเดินสายให้ใช้ไฟฟ้ากันได้สบาย พร้อมโรงพยาบาลสนาม, คลังเสบียง, ศูนย์บัญชาการ และทางออกที่ซุกซ่อนอย่างแนบเนียน และหลุมพรางสำหรับใช้เพื่อเป็น “รัง” ของสไนเปอร์

อุโมงค์เหล่านี้เชื่อมต่อเป็นเครือข่ายกับสุเหร่าและบ้านพักเป็นระยะ ภายในสุเหร่าและบ้านเรือนเหล่านั้น มีวัสดุอุปกรณ์และเสบียงสำหรับการอพยพหลบหนีจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพ

เมื่อปี 2016 ทหารอิรักพบเครื่องจักรสำหรับขุดอุโมงค์ที่ออกแบบดัดแปลงมาเป็นพิเศษ ขนาดใหญ่โตยาวหลายเมตร ติดตั้งหัวเจาะหลายหัวพร้อมมอเตอร์ขับเคลื่อนหลายตัวถูกกองกำลังไอเอสทิ้งเอาไว้ที่โมซุล

เอสดีเอฟตรวจพบทางเข้า-ออกอุโมงค์แบบเดียวกันนี้ซุกซ่อนอยู่หลายแห่งตามเนินเขาริมขอบบากูซ ที่มั่นแหล่งสุดท้ายของไอเอส และจนถึงปลายเดือนเมษายน ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า อุโมงค์เหล่านั้นถูกตรวจสอบพบครบถ้วนแล้วหรือไม่ และมีการตรวจค้น เคลียร์พื้นที่จนหมดแล้วหรือเปล่า

ข้อเท็จจริงอีกประการที่น่าสังเกตก็คือ กองกำลังส่วนหน้าของกองทัพเอสดีเอฟ ไม่เคยพบเห็นหรือจับกุมบรรดา “เอเมียร์” ระดับแกนนำทั้งหลายของไอเอสได้เลย รวมถึงร่องรอยของตัวประกันสัญชาติตะวันตก 3 รายสุดท้ายที่อยู่ในการควบคุมของไอเอส

ทั้งยังไม่มีการพบ “ทองคำ” หรือร่องรอยของแหล่งเก็บ “ทุนสำรอง” ของไอเอส ซึ่งเชื่อกันว่ามีอยู่มากมายไม่ใช่น้อย ประเมินกันไว้ตั้งแต่ 50 ล้านดอลลาร์เรื่อยไปจนอาจถึง 300 ล้านดอลลาร์ ที่ส่วนหนึ่งได้มาจากการปล้นสะดมธนาคารทั้งหลายตามรายทาง

สายภายในกองกำลังไอเอสบางคนระบุว่า เงินทุนดังกล่าวถูกซุกซ่อนไว้ใน “แหล่งลับ” ในทะเลทราย ด้วยการยัดใส่ตู้เย็นและตู้แช่ แล้วฝังไว้ใต้ผืนทราย!

ข้อสังเกตเหล่านี้ทำให้น่าเชื่อได้ว่า บากูซไม่ได้กลายเป็นดินแดนไม่กี่ตารางกิโลเมตรสุดท้ายของไอเอสโดยบังเอิญ ตรงกันข้าม การล่าถอยมายังพื้นที่นี้เป็นไปโดยเจตนา ตามแผนที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า

เป็นการเดินทางมุ่งหน้ามายัง “ประตู” ที่เปิดรอเอาไว้ รับไอเอสกลับลงสู่โลกใต้ดิน ไร้ตัวตน ไม่ถูกพบเห็น สู่โลกที่ซึ่งพลานุภาพทางทหารและยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่าไร้ความหมาย

กลับคืนสู่โลกไร้ขื่อแปของการก่อการร้าย การฆาตกรรมและการทำมาหากินสั่งสมพลังอย่างผิดกฎหมายได้ต่อเนื่องปราศจากใครรบกวน

คืนสู่สภาพการเป็นแก๊งติดอาวุธเพื่อกรรโชกทรัพย์อีกครั้ง เพราะอย่างน้อยที่สุดยังง่ายกว่าการปกครองดินแดนที่ถูกยึดครองมากมายนัก

ความเป็นจริงก็คือ ไอเอส คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอยู่ภายในโลกนอกกฎหมายใต้ดินเช่นนี้มาแต่เก่าก่อน และเริ่มกลับไปใช้เครือข่ายใต้ดินอีกครั้งไม่นานหลังการสถาปนารัฐกาหลิปขึ้น ในบางพื้นที่ กองกำลังไอเอสส่วนหนึ่งกลับไปใช้ชีวิตเช่นนี้กันอีกครั้งหนึ่ง ในอีกหลายพื้นที่เครือข่ายใต้ดินเหล่านี้ยังคงอยู่เต็มรูปแบบเรื่อยมา ไม่เคยยุติลงแม้ชั่วครั้งคราวก็ตาม

ตัวอย่างที่ดีที่สุดของพื้นที่เหล่านี้คือ ฮอวิยา พื้นที่อุดมสมบูรณ์ ลัดเลาะไปตามริมฝั่งทั้งสองของแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส ทางด้านตะวันตกของเมืองโมซุล เมืองที่อิรักอ้างว่าขับไล่กองกำลังไอเอสออกไปจนหมดแล้วในปี 2017

แต่ไม่ใช่ไอเอสที่ฮอวิยา กองกำลังไอเอสที่นี่ไม่เคยพ่ายแพ้ ไม่เคยถูกขับไล่มาก่อน และยังคงต่อสู้ตามแบบฉบับของตนเองด้วยการก่อการร้ายมาโดยตลอดนับตั้งแต่บัดนั้น

เช่นเดียวกับในหลายพื้นที่ทางตอนใต้ของซีเรีย ซึ่งรัฐบาลอัล อัสซาด อ้างว่าสามารถยึดคืนกลับมาจากไอเอสได้สำเร็จเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา

แหล่งซ่องสุมสำคัญของไอเอสในพื้นที่นี้คือ หุบเขายาร์มู้ก ในจังหวัดดารา ที่ซึ่งนักรบไอเอสกว่า 1,200 คน ปักหลักยึดครอง สร้างอิทธิพลอยู่นานปี เมื่อ ดารา ถูกยึดคืนโดยกำลังทหารของอัสซาดเมื่อปีที่แล้ว นักรบเหล่านี้กว่า 500 คนยอมมอบตัว

ที่น่าสนใจก็คือ 80 คนในจำนวนนั้น ถูกกองพลยานเกราะที่ 4 ของกองทัพซีเรียรับเข้าประจำการ!

ในขณะที่หน่วยข่าวกรองของซีเรีย นำกำลังอีกกว่า 400 คนที่เหลืออยู่ทั้งหมดเดินทางสู่ทะเลทราย ใกล้กับเมืองสเวดา ในแคว้นดรูซ และใช้กองกำลังไอเอสก่อเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวดรูซ เกือบ 240 คน

แกนนำชนเผ่าดรูซ ที่เคยต่อต้านการปกครองของอัสซาดมาเนิ่นนาน ยินยอมอยู่ภายใต้การปกครองของอัสซาด โดยดีนับตั้งแต่บัดนั้น

นี่คือตัวอย่างของรูปแบบความสัมพันธ์ทั้งที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน พร้อมๆ กับเป็นปฏิปักษ์กันอยู่ในทีของบาชาร์ อัล อัสซาด และไอเอส ที่ดำเนินมาตลอดระยะเวลายาวนาน รวมทั้งเป็นอุทาหรณ์ที่สะท้อนถึงวิธีการ “สลายตัว” แต่ “สงวนกำลัง” รักษาผู้คนเอาไว้ รอจังหวะ เวลา และโอกาสเปิดมาถึงใหม่อีกครั้งของไอเอส

ในทางสากล ไอเอสใช้วิธีการ “ให้เกียรติ” กองกำลังก่อการร้ายที่ยอมรับและเข้ามาอิงกับแนวทางของตนเองในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ประกาศสถาปนาผู้นำของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านั้นขึ้นเป็น “เอเมียร์” แห่ง “วิลาเยาะห์” หรือ “เขตปกครองย่อยของรัฐกาหลิป”

ไอเอสดูเหมือนให้ความสำคัญกับพื้นที่ใกล้เคียงที่อยู่ในระยะ “เอื้อมมือถึง” อย่างลิเบีย มากที่สุด ส่ง “สลีปเปอร์เซลล์” ไปฝังตัวอยู่ใน “เซิร์ต” และอีกหลายเมืองริมฝั่งทะเล กับทางตอนใต้ของประเทศเป็นจำนวนมาก แม้ไม่ค่อยเป็นที่รับรู้กันก็ตาม

ที่ ไซนาย กลุ่มก่อการร้ายอย่าง อันซาร์ เบอิต อัล-มัคดิส ปวารณาตัวเข้าร่วมกับไอเอส ตั้งแต่ปี 2014 เปิดฉากต่อสู้กับ ฮามาส อย่างต่อเนื่องจนฝ่ายหลังต้องหันไปร่วมมือกับทางการอียิปต์ก่อนถูกกวาดล้างจนเหี้ยน ว่ากันว่าภายใต้การสนับสนุนของไอเอส กองกำลังที่ต่อต้านรัฐบาลอียิปต์เพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่า 2,000 คน จนเล่าลือกันว่า มอสสาด กำลังใช้กลุ่มนี้เป็นเครื่องมือกวาดล้างฮามาส

ในอัฟกานิสถาน ปรากฏ “โคราซาน” จังหวัดใหม่ของรัฐกาหลิปอิสลามขึ้นที่นั่น ในพื้นที่จังหวัดนานการ์ฮาร์ ทางตะวันออกของประเทศ เปิดฉากรบทั้งกองกำลังอเมริกันและพันธมิตรที่นั่น และทั้งกองกำลังติดอาวุธของขบวนการทาลิบัน

ในเอเชีย เป็นที่รู้กันดีแล้วว่า อาบู ไซยัฟ ในฟิลิปปินส์ คือ “เอเมียร์” คนหนึ่งของไอเอส แต่ยังมีกองกำลังอีกไม่น้อยซุกซ่อนและเคลื่อนไหวอยู่ในอินโดนีเซียด้วยเช่นกัน

แต่กลุ่มที่ใหญ่ที่สุด ทรงอิทธิพลที่สุด มีผลงานก่อการร้ายปรากฏให้เห็นอยู่เนืองๆ สร้างอิทธิพลเหนืออำนาจรัฐได้ในพื้นที่กว้างใหญ่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไนจีเรีย ข้ามแดนไปยังหลายประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตต่อเนื่องกัน

กลุ่มก่อการร้ายใหญ่ที่สุดในแอฟริกาในเวลานี้อย่าง โบโก ฮารัม คือกลุ่มแนวร่วมที่เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังรัฐอิสลามเช่นเดียวกัน

สุดท้ายแล้ว แม้จะไม่ปรากฏตัวตนให้เห็นเป็นรูปธรรมเหมือนอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว แต่ไอเอส ก็ไม่ได้พ่ายแพ้ และไม่ได้ยอมแพ้

อาจบางที ผู้ที่สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีที่สุด น่าจะเป็น พลเอก โจเซฟ โวเทล ผู้บัญชาการกองบัญชาการภาคพื้นตะวันออกกลางของสหรัฐอเมริกา ที่บอกกับคณะกรรมาธิการกองทัพของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา เมื่อเร็วๆ นี้ว่า

“ที่เราได้เห็นกันนั้น ไม่ใช่เป็นการยอมแพ้ของไอเอส ในฐานะองค์กรก่อการร้ายองค์กรหนึ่ง แต่เป็นการดำเนินการผ่านการคิดคำนวณมาเป็นอย่างดี เพื่อความปลอดภัยของครอบครัวของนักรบไอเอส เพื่อสงวนศักยภาพของกลุ่มเอาไว้ ทั้งด้วยการยอมสลายตัวกลายเป็นคนพลัดถิ่นอยู่ในค่ายต่างๆ หรือหลบลงใต้ดิน รอคอยวันเวลาที่เหมาะสมมาถึงอีกครั้ง” เท่านั้นเอง

อย่าลืมว่า ที่ผ่านมาไอเอสเคยใช้วิธีเดียวกันนี้ เพื่อยึดครอง โมซุล ติกริต และแบกแดด สำเร็จมาแล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image