คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส : แกะรอยล่าสังหาร “อัล บัฆดาดี”

(Photo by Omar HAJ KADOUR / AFP)

“อบู บักร อัลบัฆดาดี” (ถอดเสียงและอักขระตามแบบของบัณฑิต วงษ์สันต์ ในหนังสือ เจาะลึกกองกำลังรัฐอิสลาม, ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ แปล, สำนักพิมพ์มติชน, 2558) เสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 48 ปี

เสียชีวิตภายใต้ปฏิบัติการของ “เดลตาฟอร์ซ” หน่วยรบพิเศษในสังกัด กองบัญชาการปฏิบัติการรบพิเศษ ของกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ที่มีชื่อเต็มยศอย่างเป็นทางการว่า กองกำลังปฏิบัติการรบพิเศษที่ 1 ส่วนแยกเดลตา (1st Special Forces Operational Detachment-Delta หรือ SFOD-D) ปฏิบัติการที่ใช้ชื่อรหัสว่า “เคย์ลา มุลเลอร์”

“เคย์ลา มุลเลอร์” คือนักสิทธิมนุษยชนอเมริกัน ที่ถูกลักพาโดยกองกำลังไอเอส ถูกข่มขืนโดยตัว บัฆดาดี เอง และต่อมาเสียชีวิตภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เป็นที่ชัดเจนนัก ชื่อของมุลเลอร์ถูกนำมาใช้เป็นชื่อรหัสปฏิบัติการครั้งนี้

มีความพยายามไม่น้อยที่จะให้โลกเข้าใจว่า ปฏิบัติการเคย์ลา มุลเลอร์ ดำเนินการจาก เออร์บิล เมืองในอิรัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว จุดเริ่มของปฏิบัติการครั้งนี้อยู่ที่ฐานทัพแห่งหนึ่งในซีเรีย เกิดขึ้นภายใต้การรับรู้และ “ไฟเขียว” จากรัสเซีย, รัฐบาลซีเรีย, กองทัพและรัฐบาลตุรกี

Advertisement

เป้าหมายอยู่ที่ “บาริชา” หมู่บ้านเล็กๆ เงียบสงบ น้อยครั้งจะมีไฟสงครามลามถึง อยู่ห่างจากชายแดนตุรกีเพียง 2-3 กิโลเมตรในเมืองอิดลิบ เมืองชายแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่สงบที่สุด หากวัดกันตามสภาวะสงครามกลางเมืองในซีเรีย และยิ่งเป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับกบฏซีเรีย จนถึงกับได้ชื่อว่าเป็น “เขตปลดปล่อยแห่งสุดท้าย” จากเงื้อมมือของ บาชาร์ อัล อัสซาด

เป้าหมายคือ “อบู บักร อัลบัฆดาดี” เจ้าของคำขยายความว่า “ผู้ก่อการร้ายที่โลกต้องการตัวมากที่สุด” มีค่าหัวติดตัว 25 ล้านดอลลาร์

เป็น อัลบัฆดาดี คนที่ประกาศสถาปนาตัวเองอย่างอหังการขึ้นเป็น “กาหลิป อิบรอฮีม” ผู้ครองแคว้นกาหลิปอิสลาม เมื่อปี 2014 ใช้อำนาจที่เกิดจากการก่อการร้าย ปากกระบอกปืน การแทรกซึมบ่อนทำลาย และความอำมหิตขยายอาณาเขตออกจากอิรัก สู่ซีเรีย รุ่งเรืองชนิดที่ถึงจุดหนึ่งสามารถมีอิทธิพลเหนือดินแดนที่มีอาณาเขตเทียบเท่ากับราชอาณาจักรจอร์แดน

Advertisement

อัลบัฆดาดี ตกเป็นเป้าถูกแกะรอยไล่ล่า แบบไม่ได้ตัวไม่ยอมยุติเลิกราของหน่วยรบพิเศษอเมริกันมานับตั้งแต่บัดนั้น

ครั้งสุดท้ายที่ อัลบัฆดาดี หวุดหวิดจวนเจียนจะจนมุม เป็นเหตุการณ์เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่เมืองเล็กๆ ชื่อ อันบาร์ ชายแดนด้านตะวันออกของซีเรีย อาณาบริเวณต่อเนื่องกับทะเลทรายอันบาร์อันกว้างใหญ่ของอิรัก

ปฏิบัติการเคย์ลา มุลเลอร์ ที่บาริชา ถือเป็นบทสรุปสำหรับการล่าสังหารยาวนาน 5 ปี แต่ทำไมถึงเป็นที่ อิดลิบ เมืองชายแดนอีกฟากหนึ่งของซีเรีย?

ฝ่ายอเมริกันแกะรอยอย่างไรถึงสามารถเข้าถึงตัวคนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกขานว่า “มนุษย์ล่องหน” ได้สำเร็จ?

******

คนที่ตกอยู่ในสภาพถูกไล่ล่าต่อเนื่องตลอดเวลาจะรู้สึกอย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อบรรดาอดีตผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองและหน่วยรบพิเศษของซัดดัม ฮุนเซน ที่ประกอบกันขึ้นเป็นแกนนำลึกลับของ กองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่ร่วมมือกันและสามารถพลิกผันองค์กรไร้ชื่อเสียงเรียงนามให้กลายเป็นรัฐอิสลามอันทรงพลัง เปี่ยมอิทธิพล บรรดาคนที่อุปโลกน์ อัล บัฆดาดี ขึ้นเป็น “กาหลิป อิบรอฮีม” ล้วนตายไปทั้งหมดแล้ว

ยุทธวิธีแกะรอยแล้วไล่ล่า เด็ดชีพ “เป้าหมายทรงคุณค่า” เหล่านี้จากทางอากาศ ด้วยโดรน ติดอาวุธทรงอาณุภาพของหน่วยรบพิเศษอเมริกัน นอกจากจะสังหารนักรบไอเอสไปหลายพันคน สามารถปลดปล่อยเมืองใหญ่อย่าง โมซุล และ ร็อคกอ พ้นจากอิทธิพลของไอเอส แม้ว่าจะหลงเหลือเพียงซากปรักหักพังเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม ยังเป็นยุทธวิธีในการล่าสังหารแกนนำไอเอสที่ได้ผลอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา

แต่ทั้งหมดนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ หากปราศจากการข่าวในพื้นที่จากกลุ่มนักรบเคิร์ด ก็ดี หน่วยข่าวกรองของอิรักก็ดี เหล่านี้คือจุดเริ่มต้นให้สืบสาวเข้าถึงตัว และกดดันจนแกนนำไอเอสล่าถอยไม่เป็นขบวน

ต้นปีนี้ การไล่ล่าเกือบสิ้นสุดลง ถ้าหาก อัลบัฆดาดี ไม่ไหวตัวทันในนาทีสุดท้าย พาตัวออกจากกับดักที่อันบาร์เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนกองกำลังอเมริกันตามไปถึง

จากการข่าวแวดล้อมภาคพื้นดิน อัลบัฆดาดี ตกอยู่ในสภาพหวาดระแวง หวาดระแวงมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไปและตามเหตุการณ์ที่กระชั้นชนิดหวุดหวิดหวาดเสียวมากขึ้นเรื่อยๆ ระแวงภัยถึงขนาดผวาต่อเสียงเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบิน ติดต่อกับผู้อื่นผ่านทางคนเดินสารเท่านั้น

อาจบางที อัลบัฆดาดี ได้ตระหนักแล้วว่า สักวัน วันที่เสียงเหล่านั้นไม่มีวันจางหายไปคงมาถึง

อิสมาอิล อัล อิทอวี ผู้บัญชาการไอเอส เล่าสภาพความหวาดระแวงของผู้นำของตนจากเรือนจำต่อ นิวยอร์ก ไทมส์ ไว้ในปี 2018 ว่า อัลบัฆดาดี หวาดระแวงต่อทุกผู้คน กลัวการทรยศจากคนใกล้ชิด การประชุมร่วมใดๆ จึงดำเนินไปลำบากยากเย็นยิ่ง

แรกสุด สมาชิกระดับสูงของไอเอส ต้องไปถึงจุดนัดหมาย จากนั้นต้องส่งมอบเครื่องมืออีเลคทรอนิกส์ทุกอย่างในตัวไว้ที่นั่น ไม่เว้นแม้แต่นาฬิกาข้อมือ จากนั้นจึงจะถูกนำตัวในสภาพมีผ้าปิดตา เดินทางอีกอย่างน้อยหลายชั่วโมง

เมื่อถึงจุดหมาย และถูกเปิดตาออกแล้วเท่านั้นถึงได้เห็น อัลบัฆดาดี นั่งอยู่เบื้องหน้า

กฏสำคัญที่สุดอีกประการก็คือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตมากมายเพียงใด การประชุมทุกครั้งจะกินเวลา 15-30 นาทีเท่านั้น

อัลบัฆดาดี ตกอยู่ในสภาพไม่ไว้ใจใครทั้งสิ้น มีเพียงบอดีการ์ดหยิบมือหนึ่ง ซึ่งทุกคนต้องสวมเสื้อกั๊กติดระเบิดอยู่กับตัวตลอดเวลา เช่นเดียวกับตนเอง

ปิดหนทางถูกจับเป็นของตนเองไม่ว่าจะโดยศัตรูหน้าไหนก็ตามที

******

เมื่อตอนต้นปี แม้จะสามารถหลบออกสู่ทะเลทรายอันบาร์ได้เป็นผลสำเร็จ แต่ อัลบัฆดาดี รู้ดีว่าสถานการณ์ยังคงสุ่มเสี่ยงสูงยิ่ง โดรนของอเมริกันและอิรักยังโฉบไปมาเหนือหัว ในขณะที่ภาคพื้นดินก็มีหน่วยลาดตระเวนของ ป็อปปิวลาร์ โมบิไลเซชัน ยูนิต (พีเอ็มยู) กองกำลังติดอาวุธของมุสลิมชีอะต์ปฏิบัติการอยู่เนืองๆ

โพลัท ชาน ที่ปรึกษาอาวุโสของกองทัพประชาธิไตยซีเรีย (เอสดีเอฟ) ที่มีเคิร์ดเป็นแกนนำ ระบุว่า เพราะเหตุนั้น อัลบัฆดาดี จึงตัดสินใจเร้นกายกลับเข้ามาในซีเรียอีกครั้ง

“ตามการข่าวของเรา แหล่งข่าวสามารถยืนยันกับเราได้ว่า อัลบัฆดาดี เคลื่อนที่เข้ามาพื้นที่ อัลดาชิชา ในเมือง เดเอียร์ เอซซอร์” ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของซีเรีย “หลังจาก 15 พฤษภาคมเป็นต้นมา เราก็ทำงานร่วมกับซีไอเอ แกะรอยอัลบัฆดาดีและเฝ้าติดตามกลุ่มเคลื่อนไหวของพวกเขาใกล้ชิดมาตลอด”

การเคลื่อนไหวข้ามประเทศจากฟากตะวันออกของซีเรียไปยังอิดลิบ เป็นการตัดสินใจผิดพลาดประการหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น อัลบัฆดาดี ยังเคลื่อนที่ไปพร้อมกับภรรยาอีก 2 คน ลูกๆ อีกจำนวนหนึ่งพร้อมกับบอดีการ์ด

ความพลาดพลั้งอีกประการก็คือ การจัดส่งเครือญาติจำนวนหนึ่งของตนออกไปในทิศทางเดียวกัน ยิ่งเป็นการกระทำที่ไม่ระมัดระวัง แตกต่างจากที่อัลบัฆดาดีเคยเป็นมา

ภรรยาของน้องชาย 2 คนของอัลบัฆดาดี ถูกแกะรอยจนพบตัวและถูกสังหารขณะพยายามหลบหนี หลานชายอีกคนอีกคนถูกควบคุมตัว ผู้เชี่ยวชาญในการลักลอบขนคนรายหนึ่งซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นสายของผู้นำไอเอสก็ถูกรวบตัวเช่นกัน

ที่อิรัก ตำรวจลับรวบตัว มูฮัมหมัด อาลี ซาอีด อัลโซเบอี น้องเขยของอัลบัฆดาดี ที่เคยทำหน้าที่เป็นคนเดินสารให้กับผู้นำไอเอส มูฮัมหมัด นำสายลับอิรักไปยังที่ซ่อนตัวของผู้นำไอเอสใกล้กับชายแดนอิรัก-ซีเรีย พวกเขาพบชุดปฐมพยาบาล, งานเขียนทางศาสนา และอาวุธจำนวนหนึ่งที่นั่น

แต่ที่มีค่าที่สุดคือกระเป๋าใบเล็กๆ ภายในบรรจุแผนที่เขียนหยาบๆ ด้วยมือ พร้อมบันทึกสั้นๆ ประกอบ…เส้นทางไปของอัลบัฆดาดี?

กองกำลังเคิร์ดในเอสดีเอฟ อ้างอย่างภาคภูมิในเวลาต่อมาว่า พวกเขาสามารถส่งสายเกาะติดใกล้ชิดกับขบวนของอัลบัฆดาดีได้ ไม่มีใครยืนยันข้อเท็จจริงเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดซึ่งซีไอเอได้จากกองกำลังเคิร์ดก็คือ กางเกงในใช้แล้ว 2 ตัวของอัลบัฆดาดี ซึ่งค้นได้จากที่ซ่อนที่ถูกละทิ้งแล้วในซีเรีย

มีคุณค่าเพราะมันช่วยให้ฝ่ายอเมริกันมีดีเอ็นเอที่สามารถใช้ยืนยันตัวอัลบัฆดาดีได้นั่นเอง

******

หลายเดือนต่อมา ดาวเทียมจารกรรมและโดรนได้รับคำสั่งให้ระดมถ่ายภาพพื้นที่อิดลิบ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรียถี่ยิบ ไม่นานพวกเขาก็ขีดวงกระชับลงได้อีกเหลือเพียงหมู่บ้านบาริชา สุดท้ายก็ได้เป้าหมายที่ชัดเจน อาคารคอนกรีตหลังใหม่ที่สร้างขึ้นหลังกำแพงล้อมลอบในบาริชา บ้านของ ซาลาม ฮัจย์ ดีป

ซาลาม ฮัจย์ ดีป คือสายของไอเอสชาวเมืองอเลปโป ที่ถูกส่งเข้ามาแทรกซึมในกลุ่มติดอาวุธในอิดลิบ เมื่อปี 2014 ก่อนที่จะถูกขับออกจากพื้นที่ในเวลาต่อมา เมื่อการลุกฮือเพื่อยึดอำนาจเบ็ดเสร็จในพื้นที่ไม่ประสบผลสำเร็จ เขาเพิ่งกลับมาอีกครั้งในปี 2017 อย่างมหาเศรษฐีจ่ายเงินสด 25,000 ดอลลาร์ เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร 2 ชั้นที่ยังสร้างไม่เสร็จแห่งนี้ ว่าจ้างช่างฝีมือจากหมู่บ้านใกล้เคียงเข้ามาสร้างกำแพงและต่อเติมบ้านจนแล้วเสร็จ ทั้งยังเปิดร้านค้าขาวถั่วเลนทิล ถั่วเขียวและผลิตภัณฑ์นมแกะจากฟาร์มของตัวเอง

ไม่เคยมีใครรู้ว่า ซาลาม ร่ำรวยขึ้นได้อย่างไร?

แต่การมีคน มีบ้านพัก รั้วรอบขอบชิด อย่าง ซาลาม อยู่ในซอกมุมที่สงบที่สุดของอิดลิบ คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ อัลบัฆดาดี ยินยอมเสี่ยงเดินทางข้ามประเทศมายังที่นี่ นอกเหนือจากยุทธวิธีพรางตัวเข้าไปอยู่ใกล้ศัตรูให้มากที่สุด เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามคิดไม่ถึงว่าเป้าหมายไล่ล่าของพวกเขาหลบซ่อนอยู่ใต้จมูกนี่เอง

อัลบัฆดาดี ถึงบ้านพักที่ บาริชา ในเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่าง 16.00 น. ถึง 18.00 น.ของวันที่ 26 ตุลาคม พร้อมกับภรรยา 2 คน ลูกๆ จำนวนหนึ่งกับบอดีการ์ดส่วนตัวที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุด

ในเวลาใกล้เคียงกัน ไฟเขียวให้ปฏิบัติการจากทำเนียบขาวก็เดินทางมาถึงพื้นที่

6-8 ชั่วโมงต่อมา เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง ซีเอช-47 ชินุก 4 ลำ พร้อม เฮลิคอปเตอร์โจมตีแบบ อาปาเช่ อีก 4 ลำทำหน้าที่คุ้มกันก็เหินฝ่าอากาศในระดับต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงเรดาร์เข้าหน้า บาริชา ไม่นานก็บินวนอยู่เหนือบ้านของซาลาม

ระเบิดหนแรกเกิดขึ้นตามมาในอีกไม่ช้าไม่นาน เป้าหมายคือกำแพงคอนกรีตป้องกัน ไม่เพียงทำลายเครื่องกีดขวาง ยังเป็นการทำลายกับระเบิดใดๆ ที่อาจติดตั้งอยู่ในบริเวณทางเข้า ขณะที่ ฮ.ยังอยู่ในอากาศห่างจากเป้าไม่น้อยกว่า 50 เมตร

ทุกอย่างดำเนินไปตามแผน ชินุกลงจอดพร้อมๆ กับ หน่วยรบพิเศษเดลตา ทะยานลงมามุ่งหน้าเข้าหาเตนท์ 2 หลังนอกตัวบ้าน คำสั่งภาษาอาหรับขอให้ทุกคนออกมามอบตัว แจกจ่ายแท่งไฟเรืองแสงสีเขียวให้เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเป้าโดยบังเอิญอีก

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการจู่โจมเข้าไปในตัวบ้าน เรียกร้องให้ผู้นำไอเอส ออกมามอบตัว แน่นอน อัลบัฆดาดี ปฏิเสธ

ภายในตัวบ้าน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่า ซาลาม รอดชีวิตจากการจู่โจมหรือไม่ แต่อย่างน้อยหลานปู่ของเขารายหนึ่งเสียชีวิตระหว่างการยิงต่อสู้ อัลบัฆดาดี หลบลงสู่ห้องใต้ดินพร้อมกับลูกชาย 2 คน

จุดระเบิดในเสื้อกั๊ก…ตูม

เมื่อเดลตา ฟอร์ซ ลงไปถึงนั้นพวกเขาจำเป็นต้องรื้อซากปรักหักพังอยู่พักใหญ่จึงพบร่างไร้วิญญาณ ไม่ได้มีการพึมพำไม่ได้ศัพท์และร้องไห้กระซิก อย่างที่ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวอ้างแต่อย่างใดทั้งสิ้น

การตรวจสอบดีเอ็นเอ ด้วยชุดทดสอบภาคสนามแล้วเสร็จในเวลาไม่กี่นาที เดลตา ฟอร์ซ ถอนตัวกลับออกมา

ไม่กี่นาทีให้หลัง การซัลโวชุดสุดท้ายจากเฮลิคอปเตอร์ขณะล่าถอยก็ทลายบ้านทั้งหลังพร้อมศพอีก 7 ศพลง เหลือเพียงซากปรักไม่มีชิ้นดีเท่านั้น

ปิดตำนาน “ผู้ที่ถูกพระเป็นเจ้าเลือกเฟ้น” ให้เป็นผู้นำไอเอสลงในวินาทีนั้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image