คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส : ความผิดพลาด ที่สหรัฐอเมริกา

AP

ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งก่อให้เกิดโรคโควิด-19 ย่อมเกิดความผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น ทั้งในฝ่ายของเจ้าหน้าที่ ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการรับมือ และในแง่ของประชาชนทั่วไป

ความผิดพลาดในกรณีนี้แม้เพียงเล็กน้อย ส่งผลร้ายแรงในไม่ช้าไม่นาน นั่นคือการแพร่ระบาดภายในแต่ละพื้นที่เหล่านั้น

กรณีที่เกิดขึ้นกับสหรัฐอเมริกาในยามนี้ คือตัวอย่างที่ดีที่สุดที่แสดงให้เห็นว่า ด้วยศักยภาพและความใหม่ของเชื้อโควิด-19 เผลอไผลเพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นได้มากมายเพียงใด

จนถึงขณะนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐอเมริกาทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จากเพียงไม่กี่รายกลายเป็น 428 ราย มีผู้เสียชีวิตแล้ว 17 ราย และทุกคนเชื่อว่านั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น

Advertisement

คำถามที่น่าสนใจก็คือ เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ทั้งๆ ที่มีเวลาเตรียมการรับมือกับการระบาดครั้งนี้นานร่วมเดือน และมีตัวอย่างให้เห็นได้ชัดเจนจากการแพร่ระบาดในจีน

คำถามนี้สำคัญอย่างยิ่ง เพราะสหรัฐอเมริกาไม่เพียงเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการการแพทย์สูงมากประเทศหนึ่งของโลก ทั้งยังมีสถานะทางเศรษฐกิจสูงมากพอที่จะจัดการรับมือกับเรื่องนี้ได้ด้วยดี อย่างน้อยก็ควรดีกว่าที่เห็นกันอยู่ในเวลานี้

เพราะหากยืนยันได้ว่าไม่มีอะไรบกพร่องในการรับมือโควิด-19 ของสหรัฐอเมริกา ก็เท่ากับต้องทำใจกันเท่านั้นว่า ประเทศส่วนใหญ่ที่เหลือก็สามารถเกิดการระบาดได้ ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อใดเท่านั้นเอง

ความผิดพลาดครั้งแรกในการจัดการกับปัญหาโควิด-19 ของสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้นในวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา นั่นเป็นวันแรกสุดที่คนอเมริกันจากเมืองอู่ฮั่น จุดเริ่มต้นและศูนย์กลางของการแพร่ระบาดในจีน ชุดแรกเดินทางกลับถึงบ้าน โลกภายนอกรับรู้ในเวลานั้นว่าทุกคนผ่านการตรวจสอบและนำตัวเข้ากักกันโรคในเวลาต่อมา

แต่ในอีกราว 1 เดือนให้หลัง ปรากฏหนังสือร้องเรียนของหนึ่งในเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจำนวนกว่า 20 คน ที่ต้องเข้าไปรับมือกับอเมริกันจากอู่ฮั่นเหล่านั้น ความยาว 24 หน้า ให้รายละเอียดของการปฏิบัติการทั้งหมดพร้อมทั้งกล่าวหากระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (เอชเอชเอส) ว่าส่งบุคลากรทางสาธารณสุขเข้าไปรับมือกับผู้ที่มีโอกาสติดเชื้อจากอู่ฮั่นโดยปราศจากอุปกรณ์ป้องกันตัวที่เหมาะสม และคนเหล่านี้ไม่เคยผ่านการฝึก หรืออบรมการรับมือกับการแพร่ระบาดมาก่อนเลย

ทำไมคนเหล่านี้ไม่เคยได้รับการฝึกเรื่องนี้? คำตอบคือ คนเหล่านี้เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วไป ไม่ใช่เจ้าหน้าที่จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ซึ่งมีบางส่วนไปถึงจุดรับผู้อพยพมาเหล่านั้นด้วยเช่นกันในชุดป้องกันโรคมิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้า

จดหมายร้องเรียนดังกล่าวส่งไปถึงสภาผู้แทนราษฎร ถึงสำนักงานที่ปรึกษาพิเศษกระทรวงยุติธรรม และมีสำเนาหนึ่งถูกส่งไปยังวอชิงตันโพสต์ เพื่อเผยแพร่ให้ทุกคนได้รับรู้

ข้อกล่าวหาคือ คนเหล่านั้นถูกส่งไปประจำการเพื่อทำงาน “โดยไม่เหมาะสม” ไม่มีการฝึก ไม่มีการอบรมให้ปฏิบัติงาน “ในสถานการณ์ฉุกเฉินทางสุขอนามัย” ต้องพบแบบเผชิญหน้ากับผู้โดยสารจากอู่ฮั่น สัมผัสแตะเนื้อต้องตัว เพื่อมอบกุญแจห้องพักให้ และผูกริบบิ้นสีต่างๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ให้กับผู้ที่เดินทางกลับมาเหล่านั้น

เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่เคยถูกตรวจวินิจฉัยว่าติดเชื้อหรือไม่ เพราะไม่ได้แสดงอาการออกมาให้เห็น!

ในการแพร่ระบาดที่สหรัฐอเมริกานั้น จุดแพร่ระบาดใหญ่มีอยู่ 2 จุด จุดแรกคือนครซีแอตเติล ในรัฐวอชิงตันทางตอนเหนือ อีกจุดหนึ่งคือรัฐแคลิฟอร์เนีย ทางตอนใต้ของประเทศ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์

ที่แคลิฟอร์เนียเกิดความผิดพลาดขึ้นซ้ำๆ ถึงสองครั้ง ในช่วง “การเดินทางกลับบ้าน” ช่วงแรกๆ ของชาวอเมริกันจากประเทศจีน

สุภาพสตรีรายหนึ่งซึ่งเดินทางกลับจากอู่ฮั่น ประเทศจีน และถูกกักกันโรคตามกฎเกณฑ์ 14 วัน กลับได้รับการปล่อยตัว “โดยอุบัติเหตุ” จากสถานที่กักกันโรคในเมืองซานดิเอโก ทั้งๆ ที่แสดงอาการการติดเชื้อโควิด-19 ออกมาอย่างชัดเจน!

ผู้ป่วยโควิด-19 รายนี้ถูกปล่อยตัวจากศูนย์สุขภาพซานดิเอโกของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย หลังจากที่ผลการตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น “ไม่พบว่าติดเชื้อ”

ผู้ป่วยรายนี้เริ่มแสดงอาการและมีการทดสอบซ้ำ แต่ระหว่างนั้นก็ยังได้รับอิสรภาพ เมื่อผลการตรวจครั้งใหม่ออกมาเป็นบวก คือมีการติดเชื้อ ถึงได้ถูกตามตัวกลับมากักกันโรคอีกครั้ง

ตามรายงานของซานดิเอโก ทริบูน ทางมหาวิทยาลัยยอมรับว่า การปล่อยตัวดังกล่าวเป็น “อุบัติเหตุ” และถึงแม้จะเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นก็มีการดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติที่กำหนดไว้ทั้งหมดตามมา คือการเข้าและออกศูนย์ของผู้ป่วยรายนี้มีมาตรการป้องกันครบถ้วน

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั่้นเอง ความผิดพลาดอีกครั้งก็เกิดขึ้น คราวนี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลนอร์ธเบย์วากาวัลเลย์ ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย

สุภาพสตรีรายหนึ่งซึ่งเข้าพบแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยหาเชื้อโควิด-19 อยู่นานหลายวัน ทางโรงพยาบาลอ้างว่าไม่ต้องตรวจวินิจฉัยแม้จะมีอาการบ่งชี้ เหตุผลเพราะไม่อยู่ภายใต้กรอบข้อกำหนดที่ต้องตรวจตามที่ซีดีซีกำหนดไว้

วอชิงตันโพสต์รายงานในเวลาต่อมาว่า ผู้ป่วยสตรีรายนี้ไม่ได้รับการตรวจจากทางโรงพยาบาล เพราะ “เธอไม่ได้เดินทางไปหรือกลับมาจากประเทศจีน หรือเคยได้สัมผัสติดต่อกับผู้ที่เคยได้รับการยืนยันแล้วว่าติดเชื้อมาก่อน”

4 วันถัดมา อาการของเธอทรุดหนักลง และต้องเข้ารับการรักษาในฐานะ “ผู้ป่วยใน” เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ผลการตรวจครั้งนั้นยืนยันว่า เธอติดเชื้อโควิด-19

ทางโรงพยาบาลแถลงหลังจากนั้นว่า ได้ดำเนินการ “ติดตามร่องรอยของทุกคนที่เธอเคยติดต่อสัมผัสมา” อย่างละเอียดถี่ถ้วน

สุภาพสตรีรายนี้ในเวลานี้ ถูกยึดถือว่าเป็น “ผู้ติดเชื้อรายแรกจากการติดต่อกันเองในชุมชน” ภายในประเทศของสหรัฐอเมริกา

ทั้งสองกรณีในแคลิฟอร์เนียก่อให้เกิดข้อกังขากับ “ชุดทดสอบ” หาเชื้อโควิด-19 ของซีดีซี สหรัฐอเมริกา รวมไปถึง “ข้อกำหนดบ่งชี้” ถึงตัวบุคคลที่จำเป็นต้องทดสอบหาเชื้อ แต่ยังไม่มีประจักษ์พยาน

แต่ไม่ต้องรอนานนัก เพราะว่าเจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการทดลองของรัฐฮาวาย โวยวายออกมาเป็นครั้งแรกว่า ชุดทดสอบที่ทางซีดีซีจัดส่งไปให้นั้น “ใช้การไม่ได้”

นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่า ซีดีซียอมรับเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ ว่า “บางส่วน” ของชุดทดสอบหาเชื้อโควิด-19 ที่จัดส่งไปยังห้องปฏิบัติการทดลองทั่วประเทศนั้น “ไม่ทำงานอย่างที่ควรจะเป็น”

ปัญหาคือ ไม่มีใครแน่ใจว่าชุดทดสอบที่บกพร่องนี้มีจำนวนเท่าใด และจัดส่งไปยังที่ใดบ้าง

นั่นยิ่งทำให้เกิดความวิตกกันมากขึ้นถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการตรวจจับและป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19

ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนซีดีซีจะมีปัญหาใหญ่โตยิ่งกว่านอกเหนือจากเรื่องของชุดทดสอบตัวอย่างเพื่อหาเชื้อแล้ว

ซีดีซียอมรับเองอีกครั้งว่า เสียเวลา “อันล้ำค่า” ไปหลายสัปดาห์ เพราะเหตุที่ว่า พยายามกำหนดรูปแบบของข้อบ่งชี้สำหรับการตรวจสอบหาเชื้อในตัวบุคคลด้วยตัวเอง

รายงานเชิงสืบสวนสอบสวนของ “โปรพับลิกา” พบว่า ซีดีซีไม่ยอมใช้ข้อกำหนดบ่งชี้เพื่อตรวจสอบอันเป็น “แนวทางที่แนะนำ” ที่จัดทำโดยองค์การอนามัยโลก (ฮู) แต่พยายามกำหนดกรอบการทดสอบที่ซับซ้อนมากขึ้นของตัวเองขึ้น เพียงเพื่อบ่งชี้ไวรัสตัวเดียวกัน

แต่ความซับซ้อนไม่ได้หมายความว่าจะมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น ข้อกำหนดให้ตรวจหาเชื้อเฉพาะผู้ที่เคยเดินทางไปจีนหรือประเทศกลุ่มเสี่ยง เป็นต้น

สุดท้าย โปรพับลิกาสรุปเอาไว้ว่า ทั้งข้อบกพร่องของชุดทดสอบ และข้อกำหนดในการทดสอบที่ยุ่งยากเกินไป กลายเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ในระดับท้องถิ่นดำเนินมาตรการขั้นต้นที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการป้องกันการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

ใช่หรือไม่ว่า ปัญหานี้เชื่อมโยงไปถึง “การเสียชีวิต” จำนวนมากที่ไลฟ์แคร์เซ็นเตอร์ ในนครซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน ในเวลาต่อมา?

ในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญมีความเป็นไปได้เพียง 3 ทางเท่านั้นที่ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ในละแวกนครซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน การระบาดที่รุนแรงที่สุดในสหรัฐอเมริกา และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประเทศในเวลานี้

ทางหนึ่งก็คือ มีผู้ที่เดินทางกลับจากจีน เมื่อหลายสัปดาห์หรือเมื่อปลายเดือนมกราคม เป็นตัวการในการนำเชื้อเข้ามาแพร่ระบาด ในขณะที่ตัวเองไม่แสดงอาการ และหรือไม่ได้เข้าพบแพทย์

อีกทางก็คือ ในวอชิงตัน มีการทดสอบหาเชื้อมากกว่าที่อื่นใดในสหรัฐอเมริกา ย่อมพบผู้ติดเชื้อมากกว่าเป็นธรรมดา? ข้อที่ชวนสังเกตก็คือ รัฐวอชิงตันเพิ่งตรวจสอบอย่างกว้างขวางเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “ด้วยกรอบการทดสอบที่กำหนดเอง” ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาที่ยอดผู้ติดเชื้อที่นั่นเพิ่มขึ้นสูงมาก

ทางสุดท้ายในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญก็คือ ไวรัสแพร่ระบาดอยู่นานแล้วในชุมชนในซีแอตเติล รวมทั้งอาจจะในหลายพื้นที่ในสหรัฐอเมริกา เพียงแต่ผู้ที่ติดเชื้อเหล่านั้นไม่ได้แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย และไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัย เนื่องจากไม่เคยเดินทางมาก่อนหน้านี้

ปัญหาก็คือ เมื่อการระบาดมาถึงบ้านพักคนชรา ไลฟ์แคร์เซ็นเตอร์ ที่ย่านเคิร์กแลนด์ ในซีแอตเติล ผลของการติดเชื้อจะแตกต่างออกไป ผลของการติดเชื้อของบรรดาผู้สูงอายุที่นี่ หมายถึงการถึงแก่ชีวิต!

ตัวอย่างความผิดพลาด บกพร่องที่เกิดจากกรอบที่กำหนดเป็นข้อบ่งชี้ให้ตรวจสอบ กับชุดทดสอบที่ไม่ได้มาตรฐานนี้ ยังมีให้เห็นในรัฐเท็กซัส ทางตอนใต้ของประเทศ

ผู้ป่วยรายหนึ่งซึ่งได้รับการตรวจแล้วพบว่า “ผ่านเกณฑ์ตามกรอบของซีดีซีทุกประการ” และถูกปล่อยตัวไป กลับถูกตรวจพบในภายหลังว่า ติดเชื้อ

ซีดีซีแถลงยอมรับความผิดพลาดอีกครั้งเมื่อ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ว่าผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวไปนี้ได้ไปสัมผัสติดต่อกับอีกหลายคน ตอนนี้ทางการท้องถิ่นกำลังแกะรอยตามหาตัวกันอยู่ให้ครบถ้วน

พร้อมทั้งรับปากว่าจะตรวจสอบกรณีคล้ายคลึงกันนี้ที่ผ่านมาทุกราย และเตรียมขยายการทดสอบให้กว้างขวางขึ้นต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image