ที่มา | นสพ.มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สรีสกุล ลีลาพีระพันธ์ |
เผยแพร่ |
ขณะที่สถานการณ์การระบาดของ “โควิด-19” ยังคงลุกลามไปทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่กำลังถูกจับจ้องว่า อาจจะกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง หลังจากที่ยอดผู้ป่วยสะสมในสหรัฐ แซงขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลกไปเรียบร้อย โดยมีผู้ป่วยที่มากกว่าประเทศจีน ซึ่งเป็นต้นตอของโรคไปแล้ว
และหนึ่งในสถานที่ที่หลายคนคิดว่า สุ่มเสี่ยงต่อการจะเกิดการระบาดในสหรัฐมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งในขณะนี้ ก็คือ “เรือนจำ” หรือ “คุก”
โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข ระบุว่า เรือนจำถือเป็นจุดที่มีโอกาสจะกลายเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เพราะเรือนจำ ก็เปรียบเสมือนกับเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง ที่ถูกซ่อนไว้ด้านหลังของกำแพงสูงใหญ่ ที่ๆผู้คนอาศัยอยู่จำนวนมาก นั่งอยู่ติดกันเวลากินข้าว และอยู่ภายในพื้นที่จำกัดร่วมกัน
ทำให้เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะ “เว้นระยะห่างทางสังคม” หรืออยู่ห่างกันให้ได้ 6 ฟุต ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
ขณะที่บริการด้านการแพทย์ในเรือจำเองก็รู้กันอยู่ว่า “ต่ำกว่ามาตรฐาน” ขณะที่เจลล้างมือก็เป็นสิ่งต้องห้ามในเรือนจำสหรัฐ เพราะมีส่วนผสมของ “แอลกอฮอล์” อยู่ จึงเป็นไปได้ยากที่จะให้ทุกคนรักษาความสะอาดให้มากที่สุด
ทั้งนี้ ในสหรัฐอเมริกา มีผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำทั่วประเทศกว่า 2.2 ล้านคน ซึ่งถือว่ามากที่สุุดในโลก
แม้ว่า หลายคนอาจจะมองว่า ภายในเรือนจำเป็นพื้นที่ปิด น่าจะยากต่อการนำเชื้อเข้าไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตอนนี้ สหรัฐจะห้ามการเข้าเยี่ยมคนในเรือนจำแล้ว แต่อย่าลืมว่า ยังมีเจ้าหน้าที่อีกนับร้อยคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พัสดีเรือนจำ และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่ต้องเข้าออกเรือนจำอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง
คนเหล่านั้นเอง ที่อาจจะเป็นผู้นำเชื้อไวรัสจากที่อื่นเข้าไปภายในเรือนจำ
และตอนนี้สถานการณ์ตามเรือนจำต่างๆในสหรัฐเองก็เริ่มย่ำแย่ เมื่อเริ่มพบนักโทษป่วยโควิด-19 ตั้งแต่เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ตอนนี้ มีการยืนยันพบนักโทษติดเชื้อแล้วกว่า 350 ราย ทั้งในนิวยอร์ก , แคลิฟอร์เนีย , มิชิแกน ,แอละแบมา และในอีก 12 รัฐ
ส่วนใหญ่ เป็นนักโทษที่ติดเชื้อไวรัสจะเป็นพวกที่อยู่ในเรือนจำในนครนิวยอร์ก ซึ่งตอนนี้มีเจ้าหน้าที่ของเรือนจำติดเชื้อแล้ว 104 ราย และนักโทษอีก 132 ราย และเชื่อว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
และตอนนี้ ก็พบนักโทษที่เสียชีวิตขณะอยู่ในเรือนจำสหรัฐแล้ว รายแรก และเชื่อว่า น่าจะมีรายต่อๆไปตามมาในอีกไม่ช้า หากยังไม่มีมาตรการในการจัดการกับเรื่องนี้