คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส : หนึ่งปีโควิด-19 ความทรงจำจากอู่ฮั่น

REUTERS/Aly Song

คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส : หนึ่งปีโควิด-19 ความทรงจำจากอู่ฮั่น

การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ครบรอบ 2 ปีเมื่อใด ยังเป็นข้อกังขากันอยู่ เพราะจุดเริ่มต้นของการระบาดแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่ว่าจะเป็นความคิดเห็นของใคร

ในไทม์ไลน์อย่างเป็นทางการขององค์การอนามัยโลก เริ่มต้นบันทึกเหตุการณ์ไว้ในวันที่ 31 ธันวาคม 2019 อันเป็นวันที่ คณะกรรมการสุขภาพแห่งนครอู่ฮั่น รายงานต่อองค์การอนามัยโลกอย่างเป็นทางการว่า เกิดผู้ป่วยด้วยอาการปอดอักเสบเป็นกลุ่มก้อนขึ้นในเมืองอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ย์ ของประเทศจีน

อาการป่วยที่ในที่สุดก็สามารถบ่งชี้ได้ว่า เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสในตระกูลโคโรนา แต่เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยพบระบาดในคนมาก่อน

แต่ในรายงานข่าวสืบสวนสอบสวนของ เซาธ์ไชนามอร์นิงโพสต์ สื่อสิ่งพิมพ์จากฮ่องกงที่เผยแพร่ออกมาเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ ข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบเอกสารและรายงานทางการแพทย์ของทางการจีนโดยตรง สามารถระบุได้ว่า “ผู้ป่วยหมายเลข 0” ที่เป็นจุดเริ่มต้นของโรคระบาดร้ายแรงนี้จริงๆ เป็นชาวมณฑลหูเป่ย์วัย 55 ปี ที่ล้มป่วยด้วยเชื้อ ซาร์ส-โควี-2 เป็นรายแรกย้อนหลังไปตั้งแต่เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2019 เลยทีเดียว

Advertisement

หลังจากปรากฏผู้ป่วยรายนี้ขึ้น ข้อมูลของทางการจีนแสดงให้เห็นว่า เกิดผู้ป่วยด้วยอาการเดียวกันขึ้นต่อเนื่อง ที่อัตราระหว่าง 1-5 คนต่อวัน

ถึง 20 ธันวาคม 2019 จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคประหลาดเดียวกันนี้ในอู่ฮั่นมากถึง 60 คน

เพียงแต่ทุกคนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าสาเหตุของอาการป่วยนี้คือโรคระบาดร้ายแรงที่น่าสะพรึงกลัว ปล่อยให้เกิดข่าว “อย่างไม่เป็นทางการ” ลือกันสะพัดโซเชียลมีเดีย จนฝ่ายความมั่นคงของมณฑลต้องขู่จะจับกุมผู้เผยแพร่

Advertisement

กว่าทางการจีนจะรายงานผลการตรวจยืนยันผู้ป่วยรายแรกต่อองค์การอนามัยโลกก็ต้องรอจนถึงวันที่ 5 มกราคม 2020 โดยระบุเอาไว้ว่า ตรวจวินิจฉัยยืนยันได้เมื่อ 12 ธันวาคม 2019

11 มกราคม เพียงไม่กี่วันต่อมา ผู้ป่วยจากโรคซึ่งตอนนั้นยังไม่มีชื่อโรคนี้เสียชีวิตลงเป็นรายแรก

และต้องรอจนถึงวันที่ 21 มกราคม ปีนี้เท่านั้น องค์การอนามัยโลกถึงสามารถยืนยันว่า โรคนี้สามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้

ที่น่าสนใจก็คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาขององค์การอนามัยโลกตรวจสอบแล้วบอกว่า โรคนี้เริ่มระบาดครั้งแรกที่อู่ฮั่น เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม

ในไทม์ไลน์ขององค์การอนามัยโลก ระบุเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งเอาไว้ นั่นคือ เมื่อ 12 มกราคมปีนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุวิศวกรรมของจีนนำเอาผลการจำแนกพันธุกรรมของเชื้อไวรัสก่อโรคนี้ เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของตนออกไปทั่วโลก

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนา “วัคซีนโควิด-19” ได้ในระยะเวลารวดเร็วสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ในขณะที่วันที่ 13 มกราคม ก็สำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน เพราะนั่นคือวันที่ตรวจยืนยันพบผู้ป่วยรายแรกนอกประเทศจีน

ประเทศที่พบผู้ป่วยนอกประเทศจีนเป็นรายแรกก็คือประเทศไทยเรานี่เอง

ปลายปี 2019 “ต้วน หลิง” นักธุรกิจหญิงชาวหูเป่ย์ กับ “ฟ่าง ยู่ชุน” สามีที่เป็นศัลยแพทย์อยู่ในโรงพยาบาลอู่ฮั่น เริ่มได้ข่าวระแคะระคายจากภายในโรงพยาบาล ผ่านกลุ่มแชตว่า มี “โรคอุบัติใหม่” เกิดขึ้นในวอร์ดสำหรับโรคระบบทางเดินหายใจ

ต้วน ในวัย 36 เท่ากับฟ่าง ผู้เป็นสามี ไม่ให้ความสนใจต่อข่าวเล็กๆ น้อยๆ นี้มากนัก เธอกับสามีที่เพิ่งกลับมาจากการศึกษาวิชาแพทย์ในสหรัฐอเมริกา กำลังตื่นเต้นกับแผนการสร้างครอบครัว มีลูกตัวเล็กๆ ด้วยกัน ด้วยการเริ่มเข้ารับการรักษาตามกระบวนการเยียวยาผู้มีบุตรยาก

“แต่ข่าวเรื่องโรคไม่หายไป กลับมีหนาหูขึ้นเรื่อยๆ เราสองคนเริ่มตระหนักว่า น่าจะมีอะไรสักอย่างสองอย่างที่ทำให้โรคระบาดหนนี้แตกต่างไปจากที่ผ่านๆ มา”

ไม่ถึงเดือนต่อมา ฟ่าง ยู่ชุน ก็กลายเป็นผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกของโลก เป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า โรคระบาดร้ายแรงนี้สามารถแพร่ระบาดจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกคนหรือหลายคนได้

ในช่วงแรกของการระบาด โรงพยาบาลทุกแห่งในอู่ฮั่นคลาคล่ำเต็มไปด้วยผู้ป่วย การตรวจหาเชื้อหายาก ในเวลาเดียวกันแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่วนใหญ่ก็กรำงานโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันเชื้อแต่อย่างใด

ต้วนบอกว่า มีคนติดเชื้อเป็นจำนวนมากในอู่ฮั่นที่ไม่ได้รับการตรวจยืนยัน ด้วยเหตุนี้ ฟ่างจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตนเองติดเชื้อโควิด-19 อย่างไรและจากใคร

แม้มีโอกาสมากที่สุดที่จะติดเชื้อจากภายในโรงพยาบาล แต่บ้านพักของทั้งคู่ก็อยู่ห่างจากตลาดค้าส่งอาหารทะเลหูหนัน ในเมืองอู่ฮั่นเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเมตร

ในละแวกตลาดค้าส่งอาหารทะเลแห่งนั้น มีการตรวจยืนยันพบผู้ติดเชื้อมากถึงนับพันๆ รายต่อวัน

ถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ตอนนั้นมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในอู่ฮั่นไปเพียง 420 คน แต่จำนวนผู้ติดเชื้อยังคงพุ่งสูง มีผู้ติดเชื้อใหม่หลายพันรายต่อวัน

นั่นคือเหตุผลที่ทางการจีนจำเป็นต้องประกาศปิดเมืองทั้งเมือง ห้ามเข้าออกโดยเด็ดขาด

ชาวเมืองต้องอยู่แต่กับบ้าน จะได้รับอนุญาตให้ออกจากที่อยู่ได้เพียงครั้งคราวตามความจำเป็น

ตอนนั้น อู่ฮั่น เพิ่งลิ้มรสชาติของการล็อกดาวน์มาได้เพียง 2 สัปดาห์ ยังคงไม่ได้ซึมซับกับความโดดเดี่ยว อึดอัดคับข้อง ที่เหมือนยาวนานไม่มีสิ้นสุดตลอดระยะเวลา 76 วัน ที่อู่ฮั่นถูกตัดขาดจากจีนทั้งประเทศอย่างเด็ดขาด

ทุกอย่างยิ่งสาหัสสำหรับ ต้วน หลิง เธอไม่เพียงต้องดิ้นรนตามลำพังอีกครั้งเท่านั้น แต่สภาพของฟ่าง ผู้เป็นสามีในวอร์ดผู้ป่วยโรคติดเชื้อ ไม่น่ายินดีเหมือนภาพ ฟ่างนั่งเล่นกีตาร์ในห้องหอพักที่สหรัฐอเมริกามากมายนัก

ตอนฟ่างต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น ไข้ขึ้นสูงมาก ชีพจรเต้นเร็ว แม้ในยามพักผ่อนอยู่เฉยๆ ยังกระฉูดขึ้นไปกว่า 100 ครั้งต่อนาที ฟิล์มเอกซเรย์บริเวณปอดของผู้เป็นสามีนั้น ต้วนบอกว่า ดูแล้วราวกับพื้นที่กระจายเต็มไปด้วยเศษกระจกที่แตกกระจายยังไงยังงั้น

เมื่ออยู่ตามลำพัง หลายครั้งที่ต้วน หลิง อยากร้องไห้ให้หนำใจ แต่เธอบอกว่า โควิด-19 ไม่อนุญาตให้ร้องไห้ไม่เช่นนั้นจะพังทลายไปพร้อมกับมัน

“โควิด-19 บีบให้เรามีแต่ต้องเข้มแข็ง ต้องเชื่อมั่น ต้องเชื่อเสมอว่าเราจะผ่านมันไปได้ด้วยกัน” เธอบอก

ถึงที่สุดแล้ว ฟ่างกลับโชคดี อาการของเขาไม่หนักอย่างที่คิดกันไว้ในตอนแรก ในจำนวนผู้เสียชีวิตราว 3,869 ราย ที่อู่ฮั่น ไม่มีฟ่างเป็นหนึ่งอยู่ในจำนวนนั้น

อาการหนักที่สุดของฟ่าง จัดอยู่ในระดับแค่เพียงปานกลางสำหรับผู้ป่วยอีกเป็นจำนวนมาก เขาใช้เวลาเกือบ 2 เดือนค่อยๆ ทุเลาขึ้นเรื่อยๆ และยังจำเป็นต้องทำงานในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง แม้ในขณะแสดงอาการแล้วก็ตามที

นอกเหนือจากจะเป็นหนึ่งในบุคคลประวัติศาสตร์ที่ได้รับการยืนยันว่า ติดเชื้อโควิด-19 จากคนอื่นเป็นรายแรก ฟ่าง ยู่ชุน ยังเป็นหนึ่งในผู้คนทั่วโลกไม่น้อยกว่า 70 ล้านคน ที่หายจากอาการป่วยนี้ และเหมือนกับอีกหลายคนในจำนวนผู้รอดชีวิตเหล่านั้น ที่ยังคงเผชิญกับปัญหาทางด้านสุขภาพต่อเนื่องต่อไป

ราว 9 คนในทุกๆ 10 คน ที่รอดชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 มาได้ มีปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่แพทย์คาดว่า จะยังคงติดตัวไปจนตลอดชีวิต

ในขณะที่อาจมีผลกระทบในระยะยาว ที่ยังไม่แสดงออกมาให้เห็นในตอนนี้ได้อีกด้วย

บรรดาเพื่อนๆ แม้กระทั่งญาติๆ ของ ฟ่าง ยังคงหวาดกลัวกับอาการป่วยจากโรคติดเชื้อที่เขาเคยพานพบมาแม้ในกระทั่งทุกวันนี้ กลัวกันว่า วันดีคืนดีโควิด-19 ในร่างกายของเขาอาจฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง แบบไม่บอกไม่กล่าว

“ใครคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกนี้ มักหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเมื่อเราไปปาร์ตี้กับพวกเขา เพราะงั้นเราถึงไม่ค่อยได้ไปจับกลุ่มร่วมสนุกอีกแล้ว และโควิด-19 ก็ยังคงสภาพเป็นความอึดอัด คับข้องอยู่ในใจฉันมาจนถึงทุกวันนี้” ต้วน หลิงระบุ

ทุกวันนี้ อู่ฮั่น ฟื้นคืนสู่สภาพปกติอีกครั้งหนึ่งแล้ว เจ้าหน้าที่ที่สุ่มตรวจไม่เคยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 อีกเลยมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ท้องถนน บาร์ ตลาดสด และ ภัตตาคาร ร้านอาหารทั้งหลายเริ่มพลิกฟื้นกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เต็มไปด้วยผู้คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แม้จะมีหน้ากากป้องกันติดใบหน้าอยู่แทบตลอดเวลาก็ตาม

ครอบครัวอู่ฮั่นอีกบางครอบครัว ไม่ได้โชคดีแบบเดียวกับครอบครัวของฟ่างกับต้วน ในประสบการณ์ของพวกเขาเหล่านั้น ความทรงจำของโควิด-19 เมื่อเกือบปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องราวที่ยากอย่างยิ่งที่จะลืมเลือน

เช่นกรณีของ เจิ้น หญิงสาวชาวอู่ฮั่นที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามเต็มๆ เธอบอกว่า เธอติดเชื้อโควิด-19 พร้อมกับผู้เป็นพ่อ แม่ และพี่สาวในเดือนมกราคม พอถึงเดือนกุมภาพันธ์ ครอบครัวก็สูญเสียผู้เป็นพ่อไปกับโควิด-19

ทุกวันนี้ เจิ้น ยังคงหวาดผวา เฝ้าวนเวียนครุ่นคิดถึงแต่ประสบการณ์อันเลวร้ายในช่วงเวลานั้น

“ถึงทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพปกติแล้วก็เถอะ คุณก็ยังเลี่ยงหนีจากข่าวการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ได้…หนีจากความทรงจำและประสบการณ์ขมขื่นของตัวเองในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดหนนั้นไม่ได้”

แต่ ต้วน หลิง กับ ฟ่าง ยู่ชุน ไม่ได้คิดอะไรมากมายถึงขนาดนั้น พวกเขายอมรับข้อเสนอของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเมือง ซื้ออพาร์ตเมนต์หลังใหม่ในราคาลด 15 เปอร์เซ็นต์ สำหรับแพทย์และพยาบาลที่ต่อสู้กับโควิด-19 มาอย่างลำบากยากเย็น

พวกเขาเตรียมเข้าสู่กระบวนการเยียวยาสำหรับผู้มีบุตรยากอีกครั้ง หวังว่าจะเริ่มต้นสร้างครอบครัวใหม่ให้ได้ ต้วน หลิงบอกว่า

“ชีวิตคนนั้น แท้จริงแล้วสั้นนัก และยังเป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วยสารพัดสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจ

“มีความสงบและสันติในการดำรงชีวิตในแต่ละวันได้ก็ถือเป็นสิ่งทรงคุณค่าอย่างยิ่ง มีโอกาสใช้ชีวิตด้วยกันได้อีกครั้ง ก็ควรชื่นชมทนุถนอมไว้ให้ดีต่อไป”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image