พบหลักฐานบ่งชี้ ที่มาของ”สงคราม”

ภาพ-Marta Mirazohn Lahr

ทีมขุดค้นทางโบราณคดี นำโดยศาสตราจารย์ มาร์ทา ไมราซอน ลาหร์ และโรเบิร์ต โฟลีย์ นักวิจัยด้านชีววิทยาสาขาวิวัฒนาการมนุษย์ จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในประเทศอังกฤษ เชื่อว่าสามารถค้นพบหลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่แสดงให้เห็นถึงรากเหง้าของสงครามและความก้าวร้าวของมนุษย์ที่ติดตัวมาโดยธรรมชาติ ย้อนยุคไปนานถึง 10,000 ปีก่อน จากซากฟอสซิลที่พบในแหล่งขุดค้น นาทูรัค ริมทะเลสาบทูร์กานาของประเทศเคนยา เมื่อปี 2012 และมีการเผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยออกมาเมื่อเร็วๆ นี้

นักคิด นักวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงปรัชญาเมธีอย่างฌอง-ฌาคส์ รุสโซ และโธมัส ฮอบส์ ถกกันมานานนับร้อยๆ ปีแล้วว่า “สงคราม” และ “ความก้าวร้าว” ของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นจากธรรมชาติของคนเรา หรือเกิดขึ้นจากการบ่มเพาะของสภาวะแวดล้อมกันแน่ นักคิดส่วนหนึ่งเชื่อว่า สงครามที่มีการจัดตั้งเป็นระบบนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่มนุษย์มีสังคมซับซ้อน และมีลำดับอำนาจเชิงการเมืองขึ้นมาแล้ว อีกบางส่วนเชื่อว่ารากเหง้าของสงครามเกิดขึ้นหลังจากที่มีการ “ปฏิวัติเกษตรกรรม” คือมีการตั้งหลักแหล่งทำการเกษตร สะสมผลผลิตและปศุสัตว์ขึ้นมากพอที่จะคุ้มค่ากับการทำสงคราม แต่มีเช่นกันที่เชื่อว่าสงครามเกิดขึ้นจากความก้าวร้าวที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ โดยเทียบเคียงกับพฤติกรรมก่อเหตุรุนแรงของชิมแปนซีที่ยกพวกรุมชิมแปนซีหลงฝูงที่พลัดเดี่ยวเข้ามาในถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกตน

แหล่งขุดค้นนาทูรัคแสดงให้เห็นซากโครงกระดูกของผู้ที่เสียชีวิตพร้อมๆ กันมากถึง 27 คน เมื่อราว 10,000 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนวิวัฒนาการเกษตรกรรม มีร่องรอยการใช้กำลังรุนแรง ร่องรอยของบาดแผลจากอาวุธปรากฏอยู่อย่างชัดเจน เหยื่อมีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กอีกด้วย ซึ่งโฟลีย์เชื่อว่าจากจำนวนของผู้เสียชีวิตที่มีจำนวนมาก ทำให้ไม่น่าจะเกิดจากการฆ่ากันเป็นการส่วนตัว หรือการฆาตกรรมภายในครอบครัว แต่เป็นผลมาจากการสู้รบระหว่างกลุ่มคน 2 กลุ่มที่เกิดขัดแย้งกัน

นำ2

การขุดค้นแสดงให้เห็นซากโครงกระดูกที่แยกได้เป็นของคน 27 คน บางส่วนเป็นซากที่เกือบสมบูรณ์ อีกจำนวนหนึ่งหลงเหลือเพียงบางส่วนเท่านั้น ทั้งหมดมีอายุระหว่าง 9,500 ถึง 10,500 ปีก่อน สภาพกระจัดกระจายของซากแสดงให้เห็นว่าบริเวณดังกล่าวไม่ใช่สุสานที่จะมีการฝังอย่างเป็นระเบียบ แต่เป็นศพที่ถูกทิ้งไว้ในที่ซึ่งล้มลงเสียชีวิตหรือถูกฆ่าเท่านั้น

ADVERTISMENT

หลายศพมีร่องรอยของบาดแผลที่ศีรษะจากการทุบอย่างรุนแรง หรือไม่ก็มีร่องรอยของแผลจากหอกหรือธนูบริเวณศีรษะและคอ อาวุธที่ใช้ในการฆ่าส่วนใหญ่จะเป็นธนูหรือไม่ก็หอกขนาดเล็กและท่อนไม้ หนึ่งในผู้ตายเป็นผู้หญิงที่พบเข่าถูกทุบจนหัก นอนตะแคงมือทั้งสองอยู่ด้านหน้าลำตัวเหมือนถูกมัดก่อนลงมือฆ่า

โฟลีย์เชื่อว่า ขนาดของกลุ่มคนที่ถูกจู่โจมครั้งนี้มีจำนวนมากกว่าที่พบ เพราะอาจมีคนตายมากกว่าที่พบ และมีอีกบางส่วนที่หลบหนีกระจัดกระจายไป และเมื่อพิจารณาจากอาวุธพื้นๆ ที่ใช้ในการโจมตี แสดงให้เห็นว่ากลุ่มที่ลงมือโจมตีมีกำลังคนเหนือกว่ามาก

ทีมวิจัยเชื่อว่า จากสภาพทั้งหมดทั้งสองกลุ่มน่าจะเป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันออกล่าสัตว์ตามปกติ แต่มาตั้งหลักแหล่งอยู่ในบริเวณดังกล่าวซึ่งอุดมสมบูรณ์ ทำให้มีจำนวนคนมากกว่ากลุ่มที่รวมตัวกันออกล่าตามปกติซึ่งมีไม่เกิน 25-30 คน หลังจากนั้นเกิดขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นการทำสงครามกันในที่สุด

ทีมวิจัยสรุปว่า ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า สงครามหรือความขัดแย้งในลักษณะสงคราม เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตมนุษย์มาตั้งแต่ยุคโบราณ

ความก้าวร้าวรุนแรงคือส่วนหนึ่งของพฤติกรรมมนุษย์โดยธรรมชาติที่พบเห็นได้ทั่วไปนั่นเอง