สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นางเจเน็ต เยลเลน ประธานกองทุนสำรองแห่งรัฐหรือธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตือนเมื่อวันที่ 21 มิถุนายนว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังต้องเผชิญกับ “ความไม่แน่นอนอย่างมีนัยสำคัญ” จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวและความเป็นไปได้ที่อังกฤษจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) หรือเบร็กซิท
นางเยลเลนชี้ให้เห็นถึงการจ้างงานและการลงทุนทางธุรกิจที่ลดลงเมื่อเร็วๆ นี้ และความเสี่ยงที่ฝ่ายสนับสนุนเบร็กซิทจะสร้างแรงสะเทือนไปยังตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเธอได้ส่งสัญญาณว่าเฟดมองอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในระยะสั้นเป็นบวกน้อยลง และจะดำเนินการอย่างระมัดระวังมากขึ้นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ประธานเฟดกล่าวในการเข้าให้ข้อมูลต่อกรรมาธิการการธนาคารของวุฒิสภาสหรัฐว่า อัตราการเติบโตเศรษฐกิจของสหรัฐดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงไตรมาสที่ 2 จากภาวะซบเซาในช่วงเริ่มต้นปีนี้ ถึงอย่างนั้นก็ตามการเติบโตยังคงไม่สม่ำเสมอและความเสี่ยงในทางลบยังคงเป็นภัยคุกคาม
“ความไม่แน่นอนที่เห็นได้ชัดเกี่ยวกับภาพรวมของเศรษฐกิจยังคงอยู่” นางเยลเลนกล่าว และว่า “ข้อมูลล่าสุดของตลาดแรงงานและอัตราของการลงทุนที่อ่อนแอแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงขาลง ที่หมายถึงว่าอุปสงค์ของตลาดภายในอาจจะหยุดชะงักไป”
นอกเหนือจากนี้ ประธานเฟดชี้ว่า ยังมีความท้าทายจากอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงและอุปสรรคในการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีน และการลงประชามติในวันที่ 23 มิถุนายน ว่าอังกฤษจะออกจากการเป็นสมาชิกของอียูหรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลถึงความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจยุโรปครั้งใหญ่
“การลงมติเพื่อออกจากอียูของอังกฤษจะส่งผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยยะสำคัญ” นางเยลเลนบอกกับกรรมาธิการวุฒิสภา และว่า อาจเป็นการทำลาย “ความสัมพันธ์ที่สำคัญมากระหว่างอังกฤษกับทวีปยุโรป” และส่งผลกระทบต่อพัฒนาการในการบูรณาการเป็นหนึ่งเดียวกันของยุโรป