วงบีทีเอส เจอกระแสตีกลับในจีน หลังคอมเมนต์เรื่องสงครามเกาหลี
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า วงบีทีเอส ศิลปินบอยแบนด์วงดังของเกาหลีใต้ เจอกระแสตีกลับในประเทศจีน ที่ยังส่งผลกระทบถึงโฆษณาสินค้าหลายตัวที่เกี่ยวข้องกับวงบีทีเอส ได้ถูกถอดหายไปจากเว็บไซต์จีน หลังจาก อาร์เอ็ม หัวหน้าวงบีทีเอส ไปกล่าวแสดงความเห็นในประเด็นสงครามเกาหลีขณะรับรางวัลเกี่ยวกับการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้
ในการกล่าวรับรางวัลดังกล่าวที่กลายเป็นประเด็นร้อน อาร์เอ็ม กล่าวว่า เกาหลีใต้มีประวัติศาสตร์แห่งความเจ็บปวดร่วมกับสหรัฐในความขัดแย้งปีค.ศ.1950-1953 ที่ทั้งสองประเทศต่อสู้ร่วมกัน
“เราจะจดจำไว้เสมอถึงประวัติศาสตร์แห่งความเจ็บปวดที่ทั้งสองชาติของเราแบ่งปันร่วมกันและความเสียสละของชายและหญิงจำนวนมาก” อาร์เอ็มกล่าว ซึ่งจุดความโกรธเกรี้ยวให้กับชาวจีนในโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก เนื่องจากในความขัดแย้งนั้นรัฐบาลปักกิ่งถือข้างสนับสนุนเกาหลีเหนือ
ผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายคนเข้าไปแสดงความเห็นในเว็บไซต์ เว่ยป๋อ แพลทฟอร์มยอดนิยมของจีนว่าประเทศของตนก็ได้รับความเจ็บปวดจากสงครามครั้งนั้นเช่นกัน
“พวกเขา(บีทีเอส) ไม่ควรจะได้เงินจากจีน หากคุณต้องการได้เงินจากแฟนๆ ชาวจีน คุณก็ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของชาวจีนด้วย” ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรายหนึ่งระบุ
ขณะที่โกลบอลไทม์ส สื่อทางการจีนรายงานว่า ชาวเน็ตจีนบอกว่าทัศนคติด้านเดียวของวงดนตรีที่มีต่อสงครามเกาหลี ทำร้ายความรู้สึกของพวกเขา และไม่สามารถลบล้างประวัติศาสตร์ได้ และบอกว่าความเห็นดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อเล่นกับผู้ชมชาวอเมริกัน
อย่างไรก็ตามความพูดดังกล่าวของอาร์เอ็ม ยังส่งผลให้โฆษณาของหลายบริษัทที่มีวงบีทีเอสเป็นพรีเซนเตอร์ในโฆษณาด้วย เช่นโฆษณาของ ซัมซุง ฟีล่า และ ฮุนได ค่ายรถยักษ์เกาหลีใต้ ได้หายไปจากเว็บไซต์จีนหรือบนโซเชียลมีเดียต่างๆ
ทั้งนี้สงครามเกาหลี เป็นสงครามความขัดแย้งระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ ที่มีชาติพันธมิตรของแต่ละฝ่ายเข้าร่วมด้วย ความขัดแย้งครั้งนั้นส่งผลให้มีทหารเกาหลีใต้เสียชีวิตราว 200,000 นาย และทหารอเมริกันอีก 36,000 นาย ด้านสื่อทางการจีนอ้างว่าจีนสูญเสียทหารไปในสงครามครั้งนั้นด้วย 180,000 นาย
ขณะที่บีทีเอส เป็นวงบอยแบนด์เกาหลีที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในวงการเพลงระดับโลก ซึ่งมีแฟนเพลงอยู่ทั่วทุกมุมโลกและมีฐานแฟนเพลงอยู่บนเว็บไซต์เว่ยป๋อของจีนอย่างน้อยกว่า 5 ล้านคน
