ธนาคารโลกหั่นเป้าเศรษฐกิจ เตือนประเทศโลกที่3หนี้ท่วม
ธนาคารโลกแถลงถึงผลวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจโลกครั้งแรกของปี 2564 เมื่อวันที่ 5 มกราคมนี้ ระบุว่า หลังจากที่เศรษฐกิจโลกหดตัวลง 4.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2563 คาดว่าในปี 2564 นี้เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวเพียง 4.0 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งลดลงจากประมาณการเดิมของธนาคารโลกถึง 2 ใน 10 สืบเนื่องจากมีการปรับลดประมาณการการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศทั่วโลก โดยนอกจากจีนแล้ว ประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าที่อื่นๆ ที่ดูเหมือนจะกระเตื้องขึ้นในปี 2563 ที่ผ่านมาจะกลับมาทรุดตัวลงอีกครั้งในปีนี้
นายเดวิด มัลพาสส์ ประธานธนาคารโลกเตือนไว้ด้วยว่า ภาพรวมที่คาดการณ์ไว้ดังกล่าวยังไม่แน่นอนสูงมาก และย้ำว่า จีดีพีของทั้งโลกอาจลดลงเหลือเพียง 1.6 เปอร์เซ็นต์จาก 4.0 เปอร์เซ็นต์ได้หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเวลานี้ยิ่งเลวร้ายลงมากขึ้นและเร็วขึ้น สวนทางกับการรรณรงค์ฉีดวัคซีนทั่วโลกที่ล่าช้าลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่
ในส่วนของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายไม่รวมจีน เศรษฐกิจจะขยายตัวเพียงแค่ 3.4 เปอร์เซ็นต์ ความเหลื่อมล้ำในสังคมจะสูงขึ้นอย่างพรวดพราดและส่งผลให้ภาวะจนสุดขีดพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
นายมัลพาสส์และนายอัยฮาน โคเซ รองประธานธนาคารโลกฝ่ายสถาบันการเงินและการขยายตัวอย่างเป็นธรรม (อีเอฟไอ) เตือนภัยสูงสุดต่อประเทศกำลังพัฒนารายได้ต่ำทั้งหลายว่า สถานการณ์แพร่ระบาดยิ่งทำให้ภาระหนี้สินเพิ่มสูงมากขึ้นจนอาจสร้างปัญหาในระดับวิกฤตได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องชำระหนี้สินที่ก่อไว้ก่อนการระบาด ที่ทำให้ไม่หลงเหลือเงินสำหรับรองรับด้านสาธารณสุขและการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายโคเซ เรียกร้องให้ประชาคมโลกหันมาให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและเต็มที่ต่อประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้เพื่อให้แน่ใจว่า หนี้ที่สะสมอยู่ไม่ก่อให้เกิดวิกฤตหนี้ที่ส่งผลกระเทือนต่อเนื่องในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
ธนาคารโลกยังเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ เร่งขยายการลงทุนเพื่อต่อสู้กับผลกระทบการการระบาดไม่ให้กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ผ่านการลงทุนในด้านสาธารณูปโภคสีเขียว ค่อยๆลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลลง และสร้างแรงจูงใจให้เกิดเทคโนโลยีสีเขียวขึ้นตามมา ซึ่งนอกจากจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นแล้วยังแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนไปด้วยในตัว
