สหรัฐเจอภาวะตลาดหมี ทำ ‘หุ้น-พันธบัตร-คริปโท’ ดิ่ง

สหรัฐเจอภาวะตลาดหมี ทำ ‘หุ้น-พันธบัตร-คริปโท’ ดิ่ง

ตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐพากันร่วงลงจนเข้าสู่สภาวะ “ตลาดหมี” หรือสภาพที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่ำ ความต้องการในการเทขายหุ้นมีมากกว่าซื้อ ซึ่งทำให้ราคาหุ้นตกลงอย่างต่อเนื่อง ในวันที่ 13 มิถุนายน เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่เปราะบางรวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น

ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 151.23 จุด มาปิดที่ 3,749.63 จุด หรือร่วงลง -21.8% ซึ่งต่ำกว่าระดับที่เคยร่วงลงสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อต้นปีนี้ มูลค่าของเอสแอนด์พี 500 ลดลงไปเกือบ 9% ในเวลาเพียงสามวัน ซึ่งถือได้ว่าย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิดในเดือนมีนาคม 2020

ขณะที่ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลงไปกว่า 1,000 จุดในช่วงสั้นๆ ก่อนปรับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ลด 876.05 จุด หรือ -2.8% ปิดที่ 30,516.74 จุด ขณะที่ดัชนี Nasdaq ลดลง 530 จุด หรือ -4.7% มาปิดที่ 10,809.23 จุด ซึ่งเป็นการสะท้อนอย่างชัดเจนถึงความหวาดวิตกของนักลงทุนต่อสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเทขายหุ้นมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่ดูเหมือนจะยังไม่ชะลอตัวลง แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอยตามมา

Advertisement

นักเศรษฐศาสตร์บางคนมองว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจจะเกิดขึ้นเร็วเป็นในวันพุธที่ 15 มิถุนายนนี้ ที่มีการคาดการณ์ว่าตัวเลขอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นอาจจะอยู่ที่ 0.75% และไม่มีใครคิดว่าเฟดจะหยุดอยู่เพียงเท่านี้ แต่จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องตามมา

แม้เศรษฐกิจสหรัฐโดยรวมยังคงฟื้นตัวแต่ยังมีอันตรายจากตลาดแรงงานรวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ยังคงร้อนแรงจนทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็ตกต่ำอันเป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทำให้เฟดต้องหาทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจากประเด็นต่างๆ มากมาย

อัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่ถึงจุดสูงสุดยังทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่าทศวรรษ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของกระทรวงการคลังอายุ 2 ปี ปรับเพิ่มจาก 3.06% ไปเป็น 3.36% เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่อัตราผลตอบแทน 10 ปี เพิ่มขึ้นจาก 3.15% เป็น 3.37% ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011

อย่างไรก็ดีอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นกลับทำให้ราคาพันธบัตรร่วงลง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก ทั้งนี้ช่องว่างระหว่างผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีและ 10 ปีก็แคบลงอย่างมาก ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติเช่นกัน และทำให้นักลงทุนมองว่านี่คือสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยกำลังจะเกิดขึ้น

ด้านคริปโทเคอร์เรนซีที่เคยได้รับความนิยมสูงขึ้นในช่วงต้นของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยบิทคอยน์ร่วงลงมากกว่า 14% จากวันก่อนหน้า มาซื้อขายกันที่ต่ำกว่า 23,400 ดอลลาร์สหรัฐ กลับมาอยู่ในสถิติเดิมที่ซื้อขายกันในช่วงปลายปี 2020 ซึ่งลดลงอย่างมากจากที่เคยแตะระดับสูงสุดที่ 68,990 ดอลลาร์เมื่อปลายปี 2021

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image