ขณะที่ด้านหนึ่งมีการปล่อยข่าวว่าบางส่วนของพรรคเศรษฐกิจใหม่อาจทยอยไปยกมือให้กับรัฐบาล อีกด้านหนึ่งก็เกิดภาพอันบาดตาระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เยือนพื้นที่สุรินทร์
เป็นบรรยากาศในห้วงที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะเดินทางเข้าพรรคพลังประชารัฐ
ไปนั่งในตำแหน่ง “ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์”
การร้องของบประมาณเข้าจังหวัดเหมือนเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาในทางการเมือง การยืนยันแสดงความไม่เห็นด้วยกับการยื่นญัตติตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ
สะท้อนลักษณะ “รูปธรรม” มากยิ่งกว่าข่าวลือ ข่าวปล่อยอันกระทบกับพรรคเศรษฐกิจใหม่มากมายหลายเท่า
นี่คือกลยุทธ์ “ส่งเสียงบูรพา ฝ่าตีประจิม”
ก่อนหน้านี้เคยมีข่าว นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นัดพบและหารือกันลับๆ กับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ตามมาด้วยการยืนยันของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
บอกว่าที่มีอยู่ในมือของรัฐบาลขณะนี้มิใช่ 250 ส.ส.ปริ่มน้ำอย่างที่มองเห็นและเกิดความหวาดเสียว
แท้จริงแล้วจำนวนทะยานไปถึง 280 แล้ว
เพียงแต่รอ “จังหวะ” รอ “เวลา” อันเหมาะสม
และเวลาอันเหมาะสม 1 ก็น่าจะอยู่ในบรรยากาศที่ดำเนินไปในแบบ “ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง”
นั่นก็คือ การขยับของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
นั่นก็คือ การขยับไปในพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนืออันถือว่าเป็นของพรรคเพื่อไทย
ตัวอย่าง 1 ซึ่งมากด้วยสีสันก็คือ “สุรินทร์”
แม้บรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะยังยืนยันอยู่ในปีกของฝ่ายประชาธิปไตยและโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย
อย่างมั่นเหนียว แต่อากัปกิริยาก็เอนเอียงไปเป็นอย่างมาก
แท้จริงเป็น “เศรษฐกิจใหม่” หรือว่า “เพื่อไทย”
กรณีของพรรคเพื่อไทยอย่าว่าแต่ ส.ส.ที่เป็นข่าวในพื้นที่สุรินทร์เลย แม้กระทั่งบางคนเคยเป็นรัฐมนตรี
เคยเป็นถึงเลขาธิการพรรคก็ย้ายไปซบกับพรรคพลังประชารัฐมาแล้ว
ลองถาม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ดู ลองถาม นายสุพล ฟองงาม ดู
ความเปราะบางจึงอยู่ที่พรรคเพื่อไทย