แม้ใน “36 กลยุทธ์แห่งชัยชนะในการสัประยุทธ์ทุกมณฑล”จะระบุให้ “หนี คือยอดกลยุทธ์” แต่ที่ไม่ควรมองข้ามและหลงลืมอย่างเด็ดขาด หนีได้จัดอยู่ในส่วนของ”กลยุทธ์ยามพ่าย”
ไม่ว่าจะพิจารณาผ่านตำราพิชัยสงครามไหวหนานจื่อที่ว่า “แข็งจึงสู้ อ่อนก็หนี”
ไม่ว่าจะพิจารณาผ่านตำราพิชัยสงครามปิงฝ่าหยวนจีได้ที่ว่า
“แม้นหลบแล้วรักษาไว้ได้ ก็พึงหลบ”
ไม่ว่าจะพิจารณาผ่านบทกลยุทธ์ของซุนวูที่ว่า”แข็งพึงเลี่ยง”
อันนำไปสู่บทสรุปบทว่าด้วยแม่ทัพในคัมภีร์อี้จิงที่ว่า “ถอยหนีมิผิด เป็นวิสัยซึ่งสงคราม”
คำถามจึงอยู่ที่ว่า ถอยและหนีด้วยเหตุผลใด
การหนีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในกรณีอันเกี่ยวกับ”ถวายสัตย์ปฏิญาณตน” มีรากฐานในการกำหนดกลยุทธ์มาจากอะไร ในที่สุดแล้วก็เท่ากับเป็นการยอมรับในความพ่าย
ยอมรับว่าการรุกนับแต่วันที่ 25 กรกฎาคมโดย นายปิยบุตร แสงกนกกุล สะท้อนจุด”แข็ง”ของอีกฝ่าย
เพราะในความเป็นจริง ข้อท้วงติงของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ในที่ประชุมรัฐสภาแม้ว่าจะไม่สามารถเดินหน้าไปได้ แต่กลยุทธ์ “หนี” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นเองที่กลับกลายเป็น การเผย “จุดอ่อน”
ผลก็คือ กรณี”ถวายสัตย์ปฏิญาณตน” ได้กลายเป็นประเด็นในการเคลื่อนไหว”ร่วม”ของฝ่ายค้าน
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ยอมไปตอบกระทู้ถามสดของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ในสภา ก้าวของฝ่ายค้านก็คือ การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ
เท่ากับเป็นการปิดประตูมิให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่สามารถ “หนี” ได้อีก
เท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ติดกับดัก”หนี”ของตนเอง
ไม่ว่าจะมองในด้านการทหาร ไม่ว่าจะมองในด้านการเมือง กลยุทธ์ “หนี” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงแทบมิได้แก้ปัญหาอะไรเลย
ตรงกันข้าม กลับยิ่งทำให้เกิดความสงสัยในกระบวนท่ามากยิ่งขึ้น
ที่คิดว่าเป็น”ทางออก”กลับเป็นทางออกที่ถูก”ปิด”
การหนีในกรณี”ถวายสัตย์”จึงอาจมิใช่สุดยอด”กลยุทธ์”