ไม่ว่าปัญหาอันเนื่องแต่การถวายสัตย์ปฏิญาณตน ไม่ว่าปัญหาอันเนื่องแต่ เดอะ ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮรัลด์ สัมพันธ์อยู่กับพยานหลักฐาน
มิได้เป็นเรื่องประเภท “มันจบแล้ว” มิได้เป็นเรื่องประเภท”ผมบริสุทธิ์”
นั่นก็คือ เป็นเรื่องที่ต้อง”แก้ไข” มิได้เป็นเรื่องประเภท”แก้ตัว”
เพราะว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณตนเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม นั้นมิได้กระทำอย่างเป็นเรื่องลับ ตรงกันข้าม มีการเผยแพร่ผ่านช่องทาง”ข่าวในราชสำนัก”
เพราะว่ากรณีของคดีความในออสเตรเลียนั้นมีคำพิพากษาของศาล มีการลงโทษติดคุกติดตะรางเป็นหลักฐานอย่างเด่นชัด
เพียงนำเอา”หลักฐาน”ในเชิง”ประจักษ์”ออกมาก็จบ
หากศึกษากระบวนการ”แก้ตัว”โดยไม่มีการ”แก้ไข”ในกรณีของการ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนตั้งแต่มีการทักท้วงในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม
ก็จะเข้าใจในเรื่องราวแบบ”วัวพันหลัก”และ”ขว้างงูไม่พ้นคอ” ได้ครบถ้วน
แม้จะแถลงในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมบอกว่า “เรื่องมันจบไปแล้วจะไม่ขอพูดอีก” แต่ลองไล่เรียงจากวันนั้นเป็นต้นมาว่าจบหรือไม่
เด่นชัดอย่างยิ่งว่าไม่จบ และแม้กระทั่งวันที่ 18 กันยายนผ่านไปหากไม่มีการ”แก้ไข”เรื่องก็ไม่จบ
บทเรียนจากกรณี”ถวายสัตย์ปฏิญาณตน”แสดงรูปธรรมและความต่อเนื่องอย่างแจ้งชัดอย่างยิ่งแล้ว แต่เมื่อมาถึงกรณี เดอะ ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮรัลด์ กลับไม่ยอมสรุป
จึงไม่เพียงบานปลายไปยัง”ปริญญาบัตร” หากแต่เมื่อมีการนำเอาคำพิพากษามาเปิดเผยก็ยิ่งโกโซบิก
หากเริ่มพิจารณาจากกรณี”ถวายสัตย์ปฏิญาณตน”มายังกรณี เดอะ ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮรัลด์ จะเห็นว่าที่บานปลายเพราะละเลย กฎพื้นฐานของปัญหา
นั่นก็คือ มิได้ยึดกุมหลักการ”แก้ไข” หากแต่ถลำลงไปในปลัก แห่งการ”แก้ตัว”
ประเมินว่าการ”แก้ตัว” คือมรรค จึงเท่ากับละเมิดหลักการ รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อไปโดยเจตนา
เรื่องที่ควรจะจบ กลับไม่ยอมจบ