ถามว่าเป้าหมายที่แสดงออกผ่านการเล่นงาน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ต้องการอะไร
ต้องการตัดบทบาทในฐานะ ส.ส.
ต้องการขยายผลออกไปยังความผิดทางอาญานำไปสู่การตัดสิทธิทางการเมือง สร้างความระส่ำระสายให้กับพรรคอนาคตใหม่ และ ถ้าเป็นไปได้ก็คือยุบพรรคอนาคตใหม่
เหมือนที่เคยยุบพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2550 เหมือนที่เคยยุบพรรคพลังประชาชนเมื่อปี 2551
ถามว่าเป้าหมายภายหลังเดือนมีนาคม 2562 บรรลุหรือไม่
คำตอบจากคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่าบรรลุคำตอบจากความพยายามที่จะขยายผลของกกต. ถือว่าบรรลุ
คำถามก็คือภาวะระส่ำระสายได้เกิดขึ้นหรือไม่
รูปธรรมระส่ำระสายได้ปรากฏตั้งแต่ก่อนวันที่ 20 พฤศจิกายน มาแล้ว นั่นก็คือ การโหวตสวนมติพรรคในกรณี 1 พระราชกำหนด 1 ร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563
แต่ด้านหลักของพรรคคือ 70 กว่าคนยังเหนียวแน่น มั่นคง
ขณะเดียวกัน ผลสะเทือนสำคัญหนึ่งซึ่งตามมาสัมผัสได้จากสารอันสื่อมาจาก นายภูมิธรรม เวชยชัย จาก นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และจาก คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
สะท้อนให้เห็นถึงการผนวกตัวรวมพลังอย่างน้อยก็ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคอนาคตใหม่
การต่อสู้ของพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้โดดเดี่ยว
ไม่เพียงเพราะพรรคเพื่อไทยมีบทเรียนอันเจ็บปวดมาแล้วในกรณีของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน
หากเพราะตระหนักลึกซึ้งถึงการต้องต่อสู้กับ”อำนาจ”ที่ดำรงอยู่
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
บทเรียนก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 บทเรียนก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มีความแจ่มชัด
แจ่มชัดว่าเป็นการต่อสู้ทางความคิด 2 ความคิดประจันหน้ากัน
ตัวบุคคลเสมอเป็นเพียง “ระบอบ” ซึ่งสะท้อนอย่างลึกซึ้งให้เห็น”ระบบ”ที่ดำรงอยู่
ยิ่งผ่านการต่อสู้ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคอนาคตใหม่ ยิ่งตระหนักในความลึกซึ้งว่าระบบ”คิด”ต่างหากที่ก่อให้เกิด”ระบอบ”อย่างที่เห็นนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป็นต้นมา
การชิงอำนาจนำในทาง”ความคิด”จึงมีความสำคัญเป็นอย่างสูง