09.00 INDEX บทบาท ประธาน ชวน หลีกภัย การยืนยัน จาก “พรรคฝ่ายค้าน”
ท่าทีของ นายชวน หลีกภัย ที่เหมือนกับขานรับต่อข้อเรียกร้องอันมาจากพรรคร่วมรัฐบาลที่จะให้พรรคร่วมฝ่ายค้านปรับแก้บางประโยค ในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนั้น
เป็นท่าทีที่สามารถเข้าใจได้ ไม่ว่าจะมองในแง่ที่เมื่อมีข้อเรียกร้องในฐานะคนกลางก็นำข้อเรียกร้องนั้นเสนอไปตามมารยาท
ขณะเดียวกัน ที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาดก็คือ การดำรงอยู่ในสถานะแห่งประธานสภาผู้แทนราษฎรของ นายชวน หลีกภัย นั้นแม้จะมาจากข้อเสนอของพรรคประชาธิปัตย์แต่รัฐบาลก็รับรอง
เท่ากับว่าในทางเป็นจริง นายชวน หลีกภัย จำเป็นต้องเอียง 2 หูฟังเสียงจากพรรคร่วมรัฐบาลในระดับที่แน่นอนหนึ่ง แม้ว่าโดยตำแหน่งจะถือว่าต้องเป็น “กลาง” อย่างเคร่งครัดก็ตาม
กระนั้น เมื่อ นายชวน หลีกภัย นำข้อเรียกร้องจากพรรคร่วมรัฐ บาลมาเสนอแล้ว พรรคร่วมฝ่ายค้านจะมีความเห็นเป็นมติอย่างไรก็ ต้องถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ที่จะต้องให้ความเคารพเช่นเดียวกัน
เพราะในความเป็นจริงก็ใช่ว่า “มติ”ของพรรคร่วมฝ่ายค้านใช่ว่าจะยืนหยัดยืนยันอย่างเลื่อนลอยไม่มีรากฐานความจริงรองรับเลย
ตรงกันข้าม เมื่อเดือนตุลาคม 2563 ห้วงที่มีการเคลื่อนไหวของ “เยาวชนปลดแอก” จากเดือนกรกฎาคมกระทั่งยกระดับและพัฒนาขึ้นเป็น”คณะราษฎร”ก็เคยมีญัตติทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้น
เป็นการเสนอจากรัฐบาลเพื่อให้เปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ หาทางออกร่วมกันโดยผ่านเวทีของรัฐสภามาแล้ว
ไม่เพียงแต่เป็นเนื้อหาว่าด้วยการชุมนุมที่ลงลึกไปในรายละเอียดถึงกรณีขัดขวางรถยนต์พระที่นั่ง หากแต่ยังมีการเสนอทางออกโดยจัดตั้ง”คณะกรรมการสมานฉันท์”ขึ้น
รูปธรรมก็คือ ที่ประชุมรัฐสภาได้ผ่านบรรยากาศแห่งการโต้แย้ง และมองสวนทางกันในแต่ละกรณีไปด้วยความเรียบร้อย แม้ว่าฝ่ายค้านจะปฏิเสธการเข้าร่วมในคณะกรรมการสมานฉันท์ก็ตาม
บทเรียนเมื่อเดือนตุลาคม 2563 ย่อมเด่นชัดว่าเป็นอย่างไร
เป็นบทเรียนที่ นายชวน หลีกภัย ตระหนักรู้เป็นอย่างดีว่าจะควบคุมการประชุมให้ดำเนินไปด้วยความราบรื่นอย่างไร
แท้จริงแล้ว ข้อเรียกร้องของวิปรัฐบาลเป็นข้อเรียกร้องอันเกิดขึ้นและดำรงอยู่เหมือนกับเป็นพิธีกรรมในทางการเมือง จึงถูกต้องแล้วที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะยืนยันในญัตติของตนเอง
ครานี้ก็เป็นหน้าที่ของประธานรัฐสภาที่จะดำเนินการให้ญัตติขับเคลื่อนไปด้วยความเรียบร้อยตามกฎกติกาที่กำหนด