ตั้ง 3 เงื่อนไขก่อนเข้าร่วม ‘เวทีสุดท้ายแก้ กม.บัตรทอง’ หากเห็น ‘ตำรวจ-ทหาร’ วอล์กเอาต์ทันที

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 20 มิถุนายน ที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ และเครือข่ายกว่า 10 คน นำโดยนายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ อดีตกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสัดส่วนภาคประชาชน (บอร์ดสปสช.) น.ส. สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย ฯลฯ เข้าหารือร่วมกับ นพ.พลเดช ปิ่นประทีบ เลขาธิการ สช. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการดำเนินการประชาพิจารณ์พิจารณา(ร่าง) พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(ฉบับ..) พ.ศ… เพื่อตกลงเงื่อนไขก่อนเข้าร่วมเวทีปรึกษาสาธารณะ ในวันที่ 21 มิถุนายน 2560 ที่โรงแรมเซนทราศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ ภายหลังเวทีประชาพิจารณ์ 4 ภาคเสร็จสิ้น โดยในการหารือไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนรับฟัง

นายนิมิตร์ กล่าวภายหลังการหารือ ว่า ในนามกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ได้เข้าหารือกับนพ.พลเดช ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการดำเนินการประชาพิจารณ์ฯ ซึ่งจะจัดเวทีปรึกษาสาธารณะ ในวันที่ 21 มิถุนายน โดยทางผู้จัดก็มีความกังวลว่า ทางกลุ่มคนรักหลักประกันฯและเครือข่ายจะมีการแสดงออกเหมือนทุกเวทีประชาพิจารณ์ที่ผ่านมาอีกหรือไม่ ซึ่งพวกตนได้หารือและตั้งเงื่อนไข 3 ข้อ ประกอบด้วย 1.เวทีปรึกษาสาธารณะหากต้องการเสียงจากภาคประชาชน ซึ่งได้รับเชิญ18 คนเข้าร่วมในครั้งนี้ จะต้องเป็นการพูดคุยที่ไม่ใช่อยู่ในภาวะสงครามที่มีทหาร ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคงเต็มไปหมด

“จึงขอให้ทางผู้จัดหารือและประสานส่งสัญญาณไปยังฝ่ายความมั่นคงว่า หากในวันพรุ่งนี้ (21 มิ.ย.) มีทหาร ตำรวจมาเป็นกองร้อย หรือมาในจำนวนที่พวกเรารู้สึกไม่ปลอดภัยเหมือนเวทีประชาพิจารณ์กรุงเทพฯเมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น พวกเราตัวแทนภาคประชาชนจะขอออกจากการประชุม ไม่เข้าร่วมและเดินหน้าแสดงออกต่อไป” นายนิมิตร์ กล่าว

นายนิมิตร์ เทียนอุดม

นายนิมิตร์ กล่าวอีกว่า 2. เงื่อนไขต่อมาในเรื่องของการพูดคุยหารือนั้น ต้องไม่ใช่ปิดห้องคุยแบบรวบรัดประเด็น โดยภาคประชาชนคาดว่าต้องเป็นการเปิดโอกาสรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวางจริงๆ คือ ประเด็นที่1 ต้องเป็นการหารือร่วมกันจนได้ข้อสรุปร่วมออกมา ประเด็นที่ 2 ต้องหารือจนได้ข้อเห็นต่างออกมา และประเด็นที่ 3 ต้องหารือถึงข้อเสนอแนะ ทางออกที่เป็นธรรมให้ได้ และ 3. เป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดในกรณีความเห็นต่างนั้น ต้องไม่เร่งรัดเอาข้อคิดเห็นทั้งหมดเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณายกร่าง พ.ร.บ.ฯ แต่ต้องแยกให้ชัด โดยประเด็นเห็นร่วม หากได้ออกมาก็ให้เป็นไปตามกลไกขั้นตอนของการปรับปรุงกฎหมาย แต่ประเด็นเห็นต่างจะต้องแยกออกมาและหาทางออก โดยผ่านการประชุมในรูปแบบของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ

Advertisement

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ให้แยกความคิดเห็นต่างออกมาอีกโดยผ่านกระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติจะเป็นการดึงเวลาให้ช้าไปอีกหรือไม่ นายนิมิตร์ กล่าวว่า สมัชชาสุขภาพจะมีวาระพิเศษ ซึ่งไม่ต้องใช้เวลานาน เพียงแต่ยังบอกไม่ได้ว่าการประชุมเวทีสมัชชาสุขภาพฯจะใช้เวลาเท่าใด เนื่องจากต้องดูก่อนว่าประเด็นเห็นต่างมีอะไรบ้าง ทั้งนี้ ขอย้ำว่า ไม่ได้เป็นการดึงเวลา แต่เป็นกระบวนการของสังคมอารยะ เพราะเรื่องของกฎหมายจะอยู่คู่กับเราไปตลอด ก็ต้องมีความละเอียดถี่ถ้วนด้วย

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าหากพรุ่งนี้มีตำรวจมาคอยดูแลความปลอดภัยจำนวนไม่มากก็จะไม่เข้าร่วมด้วยหรือไม่ นายนิมิตร์ กล่าวว่า ถ้าเป็นการตรวจตราปกติ พวกตนก็ไม่ได้แย้งอะไร แต่จากการประชุมประชาพิจารณ์ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ทำให้พวกตนกังวลว่าจะซ้ำรอยอีกหรือไม่ เพราะในวันนั้นตำรวจทหารมาจำนวนมาก แต่ก็ยังมีชายไม่ทราบชื่อ มาดึงป้าย และจะเข้ามาล็อกตัวตนออกไปอีก ซึ่งก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องลักษณะนี้ซ้ำๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่าประเด็นที่ถูกมองว่าเอ็นจีโอออกมาคัดค้าน เพราะมีเรื่องผลประโยชน์อื่นๆ นายนิมิตร์ กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นจากสปสช. สามารถตรวจสอบบัญชีการเบิกจ่ายงบประมาณของมูลนิธิได้ ซึ่งเป็นเอ็นจีโอมา 15 ปีไม่เคยได้รับจริงๆ
ด้าน นพ.พลเดช กล่าวว่า ตามที่เครือข่ายฯ ร้องขอว่าไม่อยากให้มีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจจำนวนมากอยู่ในเวทีปรึกษาสาธารณะในวันที่ 21 มิถุนายนนี้โดยรับปากว่าจะไม่มีมวลชน หรือเอาม็อบไปกดดันอะไร เมื่อเป็นเช่นนี้ตนก็พร้อมที่จะประสานไปยังฝ่ายความมั่นคง เพื่อขอความร่วมมือไม่ให้มีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจเพราะไม่มีม็อบแล้ว จะมีเพียงตัวแทนที่เข้าร่วมเวที ทั้งนี้เวทีปรึกษาสาธารณะจะแบ่งออกเป็น 10 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีผู้แทนจาก 4 ภาคส่วนประกอบด้วย 1.ฝั่งผู้ให้บริการคือกระทรวงสาธารณสุข 2.ฝั่งสปสช. 3.ภาคประชาชน และ 4.หน่วยราชการอื่นๆ เฉลี่ยๆ แล้วจะมีผู้แทนฝ่ายละ 20-25 คน

Advertisement

นพ.พลเดช กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เครือข่ายฯ ยังขอเพิ่มสัดส่วนภาคประชาชน 1 คน คือ น.ส.สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เข้าไปร่วมเป็นคณะทำงานฝ่ายวิชาการที่จะทำหน้าในการประมวลข้อเรียกร้องและดูว่าผลกระทบจากการแก้ไขพ.ร.บ.บัตรทองอย่างไร ซึ่งตรงนี้ไม่มีปัญหา จึงเท่ากับว่าตอนนี้คณะทำงานวิชาการจะมีทั้งหมด 5 คน ส่วนความเห็นต่อการแก้ไขร่างพ.ร.บ.บัตรทอง ทั้งประเด็นที่เห็นด้วย และประเด็นที่ไม่เห็นด้วยที่เครือข่ายหารือกับตนนั้นควรถูกรวมอยู่ในการประชาพิจารณ์ด้วย แต่ตนไม่สามารถนำความเห็นเหล่านี้เข้าไปโดยพละการ จึงให้เครือข่ายเสนออีกครั้งในเวทีวันที่ 21 มิถุนายน อย่างไรก็ตาม ประเด็นการเปิดประชุมสมัชชาสุขภาพ เป็นเรื่องทำได้ แต่ละครั้งจะใช้เวลา 6 เดือนถึง 1 ปี จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะตัดสินใจว่าจะเดินหน้าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

นพ.พลเดช ปิ่นประทีป

“จากเวทีประชาพิจารณ์และการเปิดรับฟังความคิดเห็นช่องทางต่างๆ มี 6 ประเด็นอาจต้องหาข้อสรุปเพื่อว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งยังบอกอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ขอให้รอการประชุมเวทีสาธารณะก่อน หากยังหาข้อสรุปไม่ได้ก็คงต้องพิจารณาจะทำอย่างไรต่อไป แต่ทั้งหมดจะต้องทำให้อยู่ในกรอบเวลา ที่ยื่นให้คณะกรรมการพิจารณายกร่างพ.ร.บ.ฯ ภายในวันที่ 30 มิถุนายนนี้แน่นอน” นพ.พลเดช กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image