เคล็ด(ไม่)ลับ 10 เทคนิค ‘เรียนเก่ง’ จากครูเบล อดีต นศ.ทุนแลกเปลี่ยน

10 เทคนิคเรียนเก่ง

เคล็ด(ไม่)ลับ 10 เทคนิค ‘เรียนเก่ง’ จากครูเบล อดีต นศ.ทุนแลกเปลี่ยน

เรียนเก่ง – เด็กหลายคนอาจกำลังหาเทคนิคเรียนเก่งอยู่ จะดีแค่ไหนหากคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต จะมาถ่ายทอดเรื่องราวเส้นทางแห่งความสำเร็จ เพื่อให้น้องๆ พิจารณาและนำไปเป็นแบบอย่างแก่ชีวิต หรือกับคนที่ทำงานแล้ว กำลังหาแรงบันดาลใจการพัฒนาตัวเอง ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตและการทำงานได้

อย่างเรื่องราวของ “ครูเบล-ศุภนุช ชือรัตนกุล” อดีตนักศึกษาทุนแลกเปลี่ยน 10 ประเทศ และครูติวสอบ AEIS ที่ 1 ของการเรียนประเทศสิงคโปร์ แนะนำ 10 เทคนิคเส้นทางแห่งความสำเร็จ ดังนี้

1.ให้เด็กๆ เชื่อมั่นในตัวเอง เพราะไม่มีใครที่จะสามารถหยุดตัวเราได้ นอกจากตัวเราเอง

2.ให้เด็กๆ คิดเสมอว่าให้เราแข่งกับตัวเอง เพื่อให้เราดีขึ้น เก่งขึ้นกว่าเมื่อวาน ซึ่งข้อนี้ให้มุมมองที่ดีมาก เพราะตอนนั้นครูเบล เคยคิดที่จะแข่งขันกับคนอื่น จนวันหนึ่งเธอสอบได้ที่หนึ่งแล้ว คุณพ่อสอนว่าหากเรายังไปมัวแข่งกับคนอื่น เราก็จะไม่ได้พัฒนาตัวเองต่อ วันนั้นเลยรู้ว่าคู่แข่งเราจริงๆ ไม่ใช่เพื่อนในห้อง แต่เป็นตัวเราเอง เราจะทำอย่างไรให้มีความผิดผลาดน้อยลง อ่านอย่างไรให้เร็วขึ้น จากนั้นครูเบลก็เริ่มแข่งขันกับตัวเอง เพื่อให้เธอเก่งขึ้นจากเมื่อวาน

Advertisement

3.การตั้งเป้าหมาย แต่การตั้งเป้าหมายก็เป็นดาบสองคม หากตั้งสูงเกินไปไม่มีทางทำสำเร็จ เราจะเกิดการท้อแท้ แต่หากตั้งเป้าหมายง่ายเกินไป จะทำให้ไม่พยายาม ก็จะไม่ได้ใช้ศักยภาพของตัวเองเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม การตั้งเป้าหมายที่ถูกต้อง คือต้องเหมาะกับเรา ซึ่งใจความสำคัญเราควรเข้าใจตัวเราเองก่อนว่าถ้าเราตั้งเป้า แล้วเราพยายามทำ เราสามารถทำได้สำเร็จ นั้นถือเป็นเป้าหมายที่ดี และอะไรที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายเรา ให้ถือว่าอันนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา

4.ฝึกทักษะการควบคุมตนเอง เป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเด็กๆ ยุคนี้ เพราะเรามีเรื่องให้เสียสมาธิ (Distract) ได้ง่ายมาก ทั้ง เกม, มือถือ, ความคิดเห็นคนอื่น และอีกมากมาย วิธีการฝึก เช่น หากเราตั้งใจจะเล่นเกม 20 นาที ให้เราฝึกที่จะควบคุมตัวเองให้เลิกเล่นได้ใน 20 นาทีนั้น หากวันนี้ยังทำไม่ได้ให้เราพยายามจาก 50 นาที เป็น 40 นาที หรือ 30 นาที

หากเราทำสำเร็จ เราจะรู้สึกภูมิใจ เพราะเราเป็นนายของตัวเองได้แล้ว อย่างไรก็ตาม หากเด็กๆ มองว่าการจำกัดเวลาการเล่นเกมเป็นเรื่องยากเกินไป ให้เริ่มจากอะไรง่ายๆ ก่อน เช่น ตั้งเวลานอนที่ 4 ทุ่ม พอถึงเวลา 4 ทุ่มแล้วนอนเลย ไม่ต้องมีเหตุผลอื่นๆ มาสนับสนุน เพราะหากเราทำได้ เราจะค่อยๆ ได้  self esteem กลับมา แล้วให้เด็กๆ นำวิธีเดียวกันนี้ไปใช่กับกรณีอื่นๆ ด้วย

Advertisement

5.มีสติกับปัจจุบัน เพราะหากเรามีสติกับปัจจุบัน เราจะมีสมาธิในห้องเรียนโดยปริยาย และหากเรามีสมาธิในห้องเรียน เราจะไม่ต้องอยู่กับหนังสือหรืออ่านหนังสือซ้ำๆ หลายรอบ และจะทำให้เราชอบเรียนมากขึ้นด้วย

6.ทำที่ละอย่าง ในยุคหลังๆ คนชอบทำ Multi-tasking, สิ่งที่โดดเด่นในตัว “ครูเบล” คือการทำที่ละอย่างให้สำเร็จเป็นอย่างๆ ไป เช่น สัปดาห์นี้อยากอ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบ หากมีเพื่อนชวนไปเที่ยวข้างนอก ให้เราคิดเสมอว่าหากเราไป เราจะทำเป้าที่ตั้งไปไม่สำเร็จ และถ้าทำสำเร็จได้ตามมาตรฐานเราไหม หากทำได้ เราถึงไป หากไม่ได้เราก็ต้องเลือกที่จะไม่ไป และให้เราปฏิเสธเพื่อนอย่างนุ่มนวล ข้อนี้จะเกี่ยวข้องกับการควบคุมตนเอง หรือ self-control และการตั้งเป้าหมาย หรือ goal setting ด้วย เพราะทุกอย่างที่เราทำ จะเชื่อมโยงกันหมด

7.ฝึกจับใจความ ในหนังสือ 1 บทที่เราอ่าน ให้เราฝึกจับใจความให้ได้ว่าคนเขียนต้องการจะสื่ออะไร ในหนึ่งบท หรือ หนังสือหนึ่งเล่ม อาจจะมีอยู่ไม่กี่ใจความสำคัญ ให้เราฝึกจับให้ตรงจุด แล้วการอ่านหนังสือเรียน และหนังสืออื่นๆ จะง่ายขึ้นเยอะ

8.ต้องมีทัศนคติดที่ดีกับการเรียน ไม่ว่าจะเป็นการเรียน Online ก็ดี หรือเรียนแบบ Offline ก็ดี ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่ไวรัสโควิด -19 กำลังระบาด ส่งผลให้เด็กๆ ต้องเรียนผ่านช่องทางออนไลน์ ผู้ปกครองบ้างท่านจะพูดว่าเรียนออนไลน์ไม่น่าเวิร์ค หากเด็กได้ยินคำพูดนี้ไป จะเกิดการตั้งคำถามว่าอาจจะจริง หรืออาจจะไม่จริง เพราะเป็นความคิดเห็น แต่เมื่อเด็กได้ยินแล้ว เด็กจะรู้สึกว่าการเรียนออนไลน์ไม่ได้ผลไปก่อน จะไปปิดกันช่องทางการเรียนรู้นั้นทิ้งทั้นที เราอาจจะต้องเปลี่ยนความคิดว่าหากการเรียนแบบออนไลน์มันดี หรือ  Work แค่ 60% อีก 40% เราจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร แล้วสมองเราถึงจะเปิด หาทางออกให้กับปัญหานั้น น้องๆ ก็จะยังสามารถเพิ่มช่องทางการเรียนรู้ได้อีกด้วย

9.คนเรามีช่วงเวลาตื่นตัว (Alert) ที่ไม่เหมือนกัน เพื่อนครูเบลบางคนชอบอ่านหนังสือก่อนนอน เพราะเขารู้สึกว่าช่วงที่นอน หนังสือจะค่อยๆ ซึมซับเข้าไป ขณะที่ครูเบลจะชอบอ่านหนังสือตอนเช้าตรู่ เพราะเป็นช่วงที่ Fresh ที่สุด ยังไม่ได้คิดอะไร ดังนั้น หากเราหาจังหวะของร่างกายเจอ จากที่ต้องอ่านหนังสือ 1 ชั่วโมง จะเหลือเพียง 30 นาที โดยทันที

10.ครูจะอ่านหนังสือหลังออกกำลังกายเสมอๆ อาจจะหลังว่ายน้ำ หรือหลังตีแบต อาบน้ำเสร็จ ก็จะมาอ่านหนังสือเรียนสัก 1 ชั่วโมง และครูจะเลือกวิชาที่ยากที่สุดมาอ่านช่วงนี้ด้วย เพราะช่วงเวลานั้นสมองแล่นได้ดีมากๆ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image