นักสิทธิเด็ก-สตรี แนะสังคมมองรอบด้าน ข่าวเด็ก 14 ฆ่าแม่ พ่อแม่ควรเรียนรู้ไปกับลูก ไม่ใช่เอาแต่สั่ง ใช้อำนาจ

นักสิทธิเด็ก-สตรี แนะสังคมมองรอบด้าน ข่าวเด็ก 14 ฆ่าแม่ พ่อแม่ควรเรียนรู้ไปกับลูก ไม่ใช่เอาแต่สั่ง ใช้อำนาจ

นักสิทธิเด็ก-สตรี แนะสังคมมองรอบด้าน ข่าวเด็ก 14 ฆ่าแม่ พ่อแม่ควรเรียนรู้ไปกับลูก ไม่ใช่เอาแต่สั่ง ใช้อำนาจ เตือนโซเชียล-สื่อ แพร่คลิปเด็ก ทำผิดกม.

กรณีเหตุสะเทือนใจ ลูกสาวอายุ14ปี ร่วมกับแฟนหนุ่มอายุ16ปี วางแผนฆ่าแม่แท้ๆของตัวเอง ภายในห้องพักโครงการเอื้ออาทรขจรวิทย์ ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ นั้น

เมื่อวันที่ 9 เมษายน นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่าว่า สังคมไทยลืมตั้งคำถามถึงสาเหตุ เพราะระบบเชิงโครงสร้างสังคมล้มเหลวเสื่อมถอย ปัญหาสะสมกดทับกลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตนำมาสู่ความรุนแรง อีกทั้งค่านิยมไทย ยังมองลูกเป็นสมบัติ เจือไปด้วยค่านิยมชายเป็นใหญ่ ส่งผลต่อความไม่เข้าใจกันในครอบครัว ค่านิยมรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตีใช้ไม่ได้อีกแล้วในสังคมไทย อย่างเคสนี้เห็นได้ชัดว่าลูกโตเป็นวัยรุ่น โดยธรรมชาติเขาอยากจะมีแฟน มีความรัก แต่แม่อาจมองว่ายังไม่พร้อม ทำให้ถูกจำกัดเสรีภาพ พอเด็กไม่รู้จะปรึกษาใครก็ต้องคุยกับแฟน เมื่อมีข้อมูลไม่เพียงพอ จึงตัดสินใจทำสิ่งที่ผิดนำมาสู่ความรุนแรง

  “พอเกิดความรุนแรง สังคมก็รุมประชาทัณฑ์เด็ก โทษไปที่ปัจเจก เพราะไปกระทบกับค่านิยมไทยที่มองว่าลูกต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ โดยที่ไม่ได้เข้าใจสาเหตุ การที่ครอบครัวไม่เข้าใจกัน ปัญหาถูกสะสมมานาน ถูกกระทำความรุนแรงซ้ำๆ เกิดความไม่เป็นธรรม เด็กขาดเสรีภาพ ขาดพื้นที่แสดงออก เมื่อเกิดปัญหาเขาจะออกห่างจากครอบครัว ไปเจอทางเลือกที่ไม่มีวุฒิภาวะพอจนนำมาสู่ปัญหา

“ดังนั้นการใช้อำนาจมันใช้ไม่ได้อีกแล้ว ส่วนทางออกวิกฤตเด็กไทย คือต้องเข้าใจเขา ให้เขารู้สึกว่าเราไม่ทิ้ง คอยให้คำปรึกษา ให้เขาได้เผชิญและเรียนรู้ไปกับเขา มากกว่าที่จะไปกำหนดกฎเกณฑ์ใช้อำนาจ นอกจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ให้เด็กได้ระบาย มีทางเลือกให้คำปรึกษา มีแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่เด็กเข้าถึงง่าย เพราะเขามีความเครียดจากปัญหาความรัก จากระบบการศึกษา การแข่งขัน ยิ่งตอนนี้ครอบครัวไทยเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ เป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต ที่มาจากความไม่เท่าเทียม ความยากจนเหลื่อมล้ำทางสังคม” นายจะเด็จ กล่าว

Advertisement
นายจะเด็จ เชาวน์วิไล

นายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว  กล่าวว่า สังคมกำลังกระหน่ำไปที่เด็กสองคนผู้ก่อเหตุ  โดยน้อยมากที่จะตั้งหลักหรือค้นหาไปให้ถึงราก  ส่วนผสมของปัญหาที่สั่งสม  โครงสร้างสังคมที่กดทับและไม่เอื้อต่อการเติบโตที่ดีของเด็กและเยาวชน  แน่นอนเมื่อมีการทำผิดกฎหมาย เด็กก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายซึ่งมีกระบวนการยุติธรรมที่รองรับ ดำเนินการอยู่แล้วกรณีที่เป็นเด็ก

แต่สิ่งที่น่าตกใจและเป็นการละเมิดกฎหมายซ้ำซาก คือการนำคลิปเสียงเด็กหญิงผู้ก่อเหตุมาเผยแพร่ ทางสื่อสาธารณะทั้งออนไลน์และสื่อหลัก แม้ในคลิปดังกล่าวจะเป็นการถ่ายที่ไม่เห็นใบหน้าก็ตาม แต่สิ่งที่สื่อต้องคำนึงถึงอย่างยิ่ง เพราะหากมองในระยะยาวแล้ว ในวันที่เด็กต้องกลับมาใช้ชีวิตปกติหลังจากชดใช้สิ่งที่ทำลงไปตามกฎหมาย  หลังจากผ่านกระบวนการฟื้นฟูเยียวยา ในขณะที่คลิปดังกล่าวจะคงอยู่ในสื่อ เด็กจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้อย่างไร การถูกตีตรา เกลียดชัง ไม่ยอมรับจากสังคม ทุกอย่างจะซ้ำเติมกลายเป็นปัญหาใหม่ในที่สุด

ทั้งนี้ การบันทึกและเผยแพร่คลิปดังกล่าว เข้าข่ายความผิด ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 130 ห้ามมิให้ผู้ใดบันทึกภาพ แพร่ภาพ พิมพ์รูป หรือบันทึกเสียง แพร่เสียงของเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง หรือโฆษณาข้อความซึ่งปรากฏในทางสอบสวน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

Advertisement

ในขณะที่ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 27 ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศประเภทใด ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกครอง โดยเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็ก หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“แม้จะยังไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นคนถ่าย  ใครเป็นคนส่งให้นักข่าวนำมาเผยแพร่ ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ซึ่งบังคับใช้กฎหมาย ต้องเร่งดำเนินการตรวจสอบ เพราะหากเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ  หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐรายใด ย่อมถือว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ด้วย

“นี่เป็นหนึ่งในอีกหลายๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัว ภายใต้โครงสร้างสังคมที่เสื่อมถอย ความสัมพันธ์ในครอบครัวเปราะบางอย่างที่สุด การมุ่งด่าทอ กล่าวโทษแค่ผู้ก่อเหตุที่เป็นเด็ก โดยไม่พยายามค้นหาข้อเท็จจริงในเชิงระบบ เพื่อช่วยกันวางโครงสร้าง กำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเสียที  เชื่อได้เลยว่าปัญหาจะยิ่งมากและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จนยากเกินรับมือได้” นายชูวิทย์ กล่าว

นายชูวิทย์ จันทรส

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image