คุยกับ”ใช้ ดอน คิง” บทเรียนชีวิต-การท่องเที่ยว ของชายไทยผู้ขี่มอเตอร์ไซค์ลุยเดี่ยวรอบโลก

ผู้เขียนเป็นคนชอบขี่มอเตอร์ไซต์อย่างมาก  ผลจากการเที่ยวเข้าไปอยู่ในกลุ่มเฟสบุ๊กผู้นิยมมอเตอร์ไซต์ ก็ได้พบกับเรื่องราวน่าประทับใจจากเฟสบุ๊กเพจ SHAI DON KING  ที่บอกเล่าเรื่องราวการขับมอเตอร์ไซต์ลุยเดี่ยว เป็นไบก์เกอร์ไทยคนแรก บิดมอเตอร์ไซต์ขี่ไปเรื่อยๆจนเรียกได้ว่าเกือบจะรอบโลกแล้ว

มติชนออนไลน์ พาไปคุยกับ ใช้ ศุภเศรษฐอนันต์ หรือเรียกกันในวงการว่า “เฮียใช้” อดีตนักกฎหมายอนาคตไกล จบปริญญาตรีนิติศาสตร์ จากจุฬาฯ แต่หันหลังให้กับวงการกฎหมาย  มาใช้ชีวิต เก็บเกี่ยว ประสบการณ์แบบชาวเนื้อหุ้มเหล็กที่ไปมาแล้วทั่วโลก ถึงการขับขี่ในประเทศต่างๆ ความยากลำบากในการเดินทาง เรื่องราวประทับใจ บทเรียนและข้อคิดจากการการเดินทางพบปะพูดคุยกับคนทั่วโลก รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างสังคม ที่อาจพบเห็นได้จากการสังเกตเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ จากการเดินทางแบบนี้

 

 

Advertisement

-ทำไมชอบขี่มอเตอร์ไซค์อะไรคือแรงบันดาลใจ

เหมือนผู้ชายทั่วไปที่ชอบมอเตอร์ไซค์ ตอนเด็กเราก็วาดแต่รูปมอเตอร์ไซค์ สมัยก่อนไม่ได้คิดจะขี่จริงจัง ตั้งแต่ม.ปลาย เป็นพวกแบคแพคเกอร์มากกว่า โบกรถไปเรื่อยๆ พอไปที่ซ้ำมันก็คิดเปลี่ยนวิธีเดินทางก็คือมอเตอร์ไซค์

-เอาความคิดเรื่องเดินทางรอบโลกมาจากไหน

Advertisement

ผมไม่สนใจว่าจะรอบหรือไม่รอบ ที่คิดคืออยากไปเจอที่ต่างๆในโลกนี้ ความคิดนี้เหมือนมันเกิดมากับผมตั้งแต่ตอนเป็นแบคแพคเกอร์ อยากจะไปนั่งเขียนบทกวีตามข้างถนนในโลกนี้ ไม่คิดพิมพ์ด้วยซ้ำ คิดไว้ว่า อยากจะเก็บไว้จนตาย

-เมืองไทยไปมารอบแล้วหรอ ทริปไหนประทับใจสุด

ไปมาหมดแล้วตั้งแต่โบกรถ ยันขี่มอเตอร์ไซค์ ถามว่าอะไรประทับใจ ตื่นเต้นสุด น่าจะเป็นขี่รถมอเตอร์ไซต์ครั้งแรกจากท่าฉลอม มามหาชัย (หัวเราะ) ด้วยเมทนางพญา (Yamaha Mate ) ส่วนตัวคิดว่าการท่องเที่ยวมันสวยงามในทุกวันเวลา ไม่มีอะไรพิเศษ ถ้านับ ความตื่นเต้นก็อาจจะมีการล้มกลิ้งบ้าง (หัวเราะ) แต่ทริปที่ขี่นานสุดคือ 10 วัน ตอนนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของจิตใจตัวเอง ว่าอยากอยู่กับมอเตอร์ไซค์จริงหรือเปล่า มีความคิดว่าถ้าเราชอบมันจริงก็ควรทดสอบตัวเองก่อน ตอนนั้นก็ขี่ตั้งแต่เช้ายันค่ำทุกวัน

-ขี่ไปไหน

ขี่ไปไหนก็ไม่รู้ ไม่มีจุดหมายตั้งแต่เหนือไปอีสาน ทะลุลาว ลงใต้เข้ามาเลเซีย ถึงชายแดนยะโฮร์บาห์รู ประมาณ 10 วัน หมื่นกิโล กางเต็นท์นอนบ้าง นอนโรงแรมบ้าง สิ่งที่ค้นพบตอนนั้นคือเออกูชอบมึงจริงหว่ะ

-ตอนนั้นใช้มอเตอร์ไซค์ยี่ห้ออะไร

Bmw r1200gs adventure

-มอเตอร์ไซค์เที่ยวคันแรก

aprilia pegaso เป็นรถอิตาลี ช่วงหนึ่งเคยจะมาทำตลาดในเมืองไทย แต่ดูว่าไม่ประสบความสำเร็จเลยไม่มา ที่ซื้อรถคันนี้เพราะไม่รู้เรื่องมอเตอร์ไซค์เลย เห็นเค้าขายก็มาซื้อด้วยความอยาก ราคาแสนกว่าบาท ตอนนั้น 10 กว่าปีแล้ว

-ทำมาหากินอะไร คนอาจสงสัยว่าว่างหรือไง

รวยๆๆ แบบไม่จะกิน (หัวเราะ) จริงๆเราเป็นคนชอบเดินทางไม่อยู่ติดที่ ก็พยายามทำชีวิตให้รองรับกับวิธีคิดของเราเองแม้แต่เรื่องการเลือกอาชีพ ผมจริงจังกับมันมาก หลังเรียนจบใหม่ๆ ผมเป็นทนายความอยู่หลายปี ก็พบว่าถึงจุดหนึ่งมันไม่ตอบโจทย์ชีวิต ความฝันจริงของเรา มันมีความเครียดอะไรหลายอย่าง ก็เลยพัฒนาตัวเองมาเป็นนักลงทุนด้านต่างๆเช่นที่ดิน คือเป็นคนที่ทำงานโดยพยายามใช้ช่วงเวลาประจำอยู่กับมันน้อยที่สุด สุดท้ายมานิ่งคือการซื้อที่ติดตลาดน้ำท่าคา เป็นตลาดน้ำโบราณ แล้วเรารู้สึกอยากจัดการ เก็บรักษา พัฒนาที่นี่ ก็เข้าไปทำที่เช่า ที่พัก เป็นตลาดเล็ก จนมีเวลาว่างพอ

-จุดเริ่มต้นสำหรับทริปรอบโลก

ยากมาก เพราะปัญหาของผมเบื้องต้นคือภาษาอังกฤษไม่ดี การหาข้อมูลโดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเอกสารก็ยากมาก ที่สำคัญไทยเป็นประเทศที่ฟรีวีซ่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ข้อมูลเกี่ยวกับการขอวีซ่าการนำรถเข้าของประเทศอื่นก็ยากมาก ฐานข้อมูลซึ่งเป็นภาษาไทยน้อยมาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับรถเพราะมอเตอร์ไซค์ไม่เหมือนกับจักรยาน มันเป็นเครื่องจักรกล ต้องทำการจดแจ้ง เป็นปัญหาใหญ่โตมาก เช่นกว่าจะเอารถเข้าสหรัฐอเมริกาได้ ต้องมีการยื่นเพื่อขออนุมัติเกี่ยวกับมาตรฐานของสิ่งแวดล้อมอเมริกาก่อน แล้วแต่ละประเทศหลักเกณฑ์ไม่เหมือนกันเลย ดังนั้นต้องยอมรับวันที่ผมผ่านมาได้บางประเทศผมต้องดราม่า ขอร้อง พยายามพูดเกลี้ยกล่อมทุกอย่าง

-ใช้วิธีติดต่อยังไง

ถ้าเป็นด่านต่างๆส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ก็ใช้ภาษาอังกฤษพูดคุยกัน ก็มั่วๆเอาได้ แต่ที่อิหร่านนี่สุดๆ คือ แบบแบบฟอร์มต่างๆมันเป็นภาษาของเค้า เราหมดสิทธิ์เลย แต่ก็ได้ไป อาศัยดราม่ากับบริษัทชิปปิ้ง (ขนส่งพัสดุ) ตอนแรกคิด 35,000 ผมไปขอร้องจนเหลือ 5,000 บาท พอได้ไปอิหร่าน ก็พบว่าเป็นประเทศที่มีมิตรไมตรีสูงมาก

-การขับรถเริ่มจากไหน เมื่อไหร่

เริ่มจากไทย เดือน ก.พ. ปี60 เริ่มจากไทยโดยเข้าทางแม่สอดไปพม่าแล้วต่อด้วยอินเดียจากนั้นก็เข้าอิหร่าน ที่ติดกับอิหร่านคือปากีสถาน ผมไปสถานทูตปากีสถานมาห้าครั้งแต่เขาไม่อนุมัติ เพราะเขากลัวจะถูกเรียกค่าไถ่ หรือโดนปล้น เพราะมันมีเส้นที่ต้องเลาะชายแดนปากีสถานกับอัฟกานิสถาน ใช้เวลาสองวัน เค้าบอกไม่เคยมีคนไทยไปเส้นทางที่เลย ก็โอเค จากอินเดีย ผมก็เข้าไปอิหร่านใต้ ที่เขาจะใส่ฮิญาบ ปกติจะเป็นสีดำ แต่ที่นี่มีหลายสีสวยงามแปลกตา มันก็เป็นวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่นอิหร่าน ที่น้อยคนจะได้เห็น แต่เขาห้ามถ่ายรูป ซึ่งทุกครั้งที่ผมเดินทางก็จะให้เกียรติ แต่เราจำได้ แต่ภาพมันอยู่ในใจ

ในพม่า


-คนมองอิหร่าน ภายนอกมองเป็นภาพเกี่ยวกับความไม่สงบ ด้านลบหน่อย

ไม่เห็นมีอะไร การเดินทางหลายๆครั้ง ทำให้เรารู้ว่ามันไม่จริง ผมขับรถทุกวันที่อิหร่าน วันแรกจำได้เลย ไปรับมอเตอร์ไซค์ มีรถมาปาดหน้าผม คือเปิดกระจกแล้วโบกให้ผมจอด ผมก็นึกว่าตำรวจ ก็จอด ปรากฏว่าคนเขาตื่นเต้นเพราะที่อิหร่านแทบไม่มีใครเคยได้เห็นบิ๊กไบค์เลย ลูกเค้าขอร้องอยากถ่ายรูป อยากเห็นบิ๊กไบค์ เราก็พูดคุยกันจากนั้นเขาก็เชิญชวนให้ไปนอนบ้าน แต่เราก็ไม่กล้าไป สุดท้ายเค้าเข้าไปในรถเอาถั่วมาให้ถุงหนึ่ง ซึ่งถั่วถุงแบบนั้นไปซื้อในตลาดราคา 2,000 กว่าบาทนะ คนอิหร่านแปลก คือเค้าเป็นคนพูดตรง ทีแรกผมก็เข้าใจว่าการชวนไปนอนบ้านเป็นคำพูดเชิงทักทายคล้ายสวัสดี แต่ในความจริงคือมันเป็นแบบนั้นจริงๆเขาอยากให้คุณไปนอนที่บ้าน นี่คือสิ่งที่อิหร่านเป็น

ด้วยแรงกดดันจากนานาชาติต่ออิหร่าน มันทำให้คนท้องถิ่นของที่นี่สนใจข่าวสารบ้านเมืองมาก อย่างผมไปนั่งในร้านสูบบารากุร้าน พอเขาเห็นคนหน้าตาแปลกๆ ทุกคนก็เข้ามาสลามกับเรา แล้วถามว่ามาจากไหน ผมบอกว่ามาจากเมืองไทย… คุณรู้มั้ยแววตาของทุกคนที่มองมา ซึ่งอาจจะมองด้วยท่าทีแปลกๆหรือระแวง พอพูดว่าไทยแลนด์ สายตาจากระแวง เปลี่ยนเป็นเสียงตอบว่าไทยแลนด์ very nice… ผมไม่มีความรู้ด้านการเมืองระหว่างประเทศมากแต่ผมรู้สึกว่าเขามองว่าเราเป็นประเทศสุภาพ เขาน่ารัก

ในอินเดีย

-เจออะไรน่ากลัวที่สุดในอิหร่าน

ผมโดนต่อย คือเดินๆมามีคนมองมาที่กระเป๋าคาดเอว เขาคงอยากได้เงิน พอผมสังเกตเห็นว่ามีคนตามผมก็เดินเร็วขึ้น เขาก็ยังเดินตามในระยะประชิด ผมคิดในใจว่าคงโดนแน่ๆก็เลยกระโดดจากฟุตปาธที่เดินไปกลางถนน พอเขารู้ตัวว่าคงสุดปล่อยมือเขาแล้วเพราะเราจะหนีเค้าก็เลยต่อยมา มัดหนึ่งโดนด้านหลังหัวไหล่ ผมก็หันกลับไปตอนแรกก็จะเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ว่าผมเปลี่ยนความคิดทัน คือมันมีคำถามขึ้นมาว่าผมต้องลดตัวไปโต้ตอบกับความรุนแรงและความชั่ว ของจิตใจมนุษย์ที่เป็นได้แค่นั้นหรือ ทำไมเราต้องปะทะกับเขา พูดภาษาชาวบ้านคือถ้าเราง้างเตะเข้าไปทีนึงเราอาจจะโดนเท้าอีก 20 เท้าตอบกลับมาก็ได้ แล้วความฝันของเราที่เราอยากไปต่อล่ะ เราก็ไปไม่ได้ เราถามตัวเราเองว่าเราจะใช้ความกระจอกของตัวเองโต้ตอบความกระจอกแบบนั้นไหม โอเคถ้าเป็นเมืองไทยก็อีกเรื่องหนึ่ง (หัวเราะ) วิธีคิดจากการพบเจออะไรต่างๆมันทำให้เราเปลี่ยน

สุดท้ายผมก็จ้องหน้ากันพักหนึ่ง เขาก็ไม่เล่นต่อเราก็ถอยห่างไปเรื่อยๆ วันนั้น ก็ให้บทเรียนเหมือนเป็นการตรวจทานจิตใจตัวเอง เราก็ดีพอที่จะไม่ลดตัวไปใช้ความรุนแรง แต่ขอบอกไว้ก่อนแบบนี้ว่า เหตุการณ์แบบนี้เกิดได้ที่ไหน ในโลก อย่าไปคิดว่าพอเกิดที่อิหร่าน แล้วคนอิหร่านจะเลว อย่าไปเหมารวม เราต้องถอยมาดูที่ตัวเราเองมากขึ้น หากเรามีความฝันยิ่งใหญ่ที่จะเดินต่อ

-จากอิหร่านแล้วไปไหนต่อ

จากอิหร่านก็เข้าตุรกี เป็นประเทศที่โอเคเลย เป็นเมืองที่สนุกสนานบ้าบอคอแตก จากนั้นก็เข้าเขตยุโรปตั้งแต่บัลแกเรียโรมาเนีย อิตาลี ออสเตรีย เยอรมนี ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์

-เป็นนักขับมอเตอร์ไซค์เมืองไทยไปขับในยุโรปครั้งแรกเคยโดนจับไหม

ไม่เคยโดนจับ คือต้องเข้าใจว่ากติกาการขับขี่ของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน แม้แต่ประเทศไทยก็ไม่เหมือนใคร ฉะนั้นการเดินทางสำคัญสุดคือการใช้ ความรู้สึก การใช้ความรู้สึกขับขี่คืออะไร หมายความว่าเราต้องพยายามเข้าใจลักษณะการขับขี่ของแต่ละพื้นที่ ต้องดูว่าเขาขี่กันอย่างไร เขาขี่รถแบบไหน ในความเร็วอย่างไร เขาแซงกันอย่างไร เวลารถติดเขามุดหรือเบี่ยงซ้ายไหม แต่ละประเทศเขามีพฤติกรรมการเคารพกติกากันอย่างไร อย่างในอเมริกานี่ชัดเลย แต่ละรัฐกฎหมายการขับขี่ก็ไม่เหมือนกัน ถามว่าเราจะต้องรู้อะไรไปทั้งหมดไหมก็คงไม่ ผมเองก็ต้องใช้ความรู้สึกประมวลเอา ในส่วนยุโรปการขับขี่ผมรู้สึกโอเคทุกอย่าง โซนยุโรปรอบนอกเช่นโรมาเนีย บัลแกเรียก็จะเป็นอีกแบบนึง

-เห็นความแตกต่างเมื่อเทียบกับไทย

ในเรื่องของกฎหมายไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่จะคล้ายๆกัน ความต่างมันจะเป็นเรื่องของวิธีคิด อย่างเช่นในฝรั่งเศส เราขี่ไปตามถนนจะพบด่านเก็บเงินตลอด ผมชอบวิธีคิดแบบนี้นะ ใครใช้ถนนคนนั้นต้องจ่าย อย่างเมืองไทย มันมีเรื่องตลกหลายครั้งเช่นเราอุดหนุนค่าทางด่วน มีการผูกสัญญากับผู้สร้าง เรื่องการจัดเก็บค่าทางด่วน แต่เราต้องเอาภาษีซึ่งเก็บมาจากทั่วประเทศและหลายคนไม่มีโอกาสได้ใช้ มาอุดหนุนค่าทางด่วนจากราคาที่เก็บจริง ผมคิดว่าหลักการใครใช้ใครจ่ายเป็นอะไรที่ยุติธรรม แนะนำหลักการนี้มาใช้ได้ในเมืองไทยให้มากขึ้น เงินที่ได้มาก็นำมาใช้ซ่อมแซมพัฒนาเพิ่มเติม

-จากยุโรปไปต่อที่อเมริกายังไง

ผมไปลงที่ชิคาโก ตอนไปอเมริกาผมมีคอนเซ็ปต์การเดินทางคืออยากฟังเพลงบลูส์ กับแจ๊สอะไรแบบนั้น ก็พยายามเน้นเส้นทางสายเพลงบลูส์ อย่างที่ชิคาโกก็ถือเป็นรากเหง้าเลยของเพลงบลูส์ ผมเข้าไปในบาร์ เจอนักร้องคนโปรดอารมณ์ตอนนั้นบอกได้เลยว่ามันสุดยอดมาก อย่างแถวเมมฟิส ก็จะมีกลิ่นอายเพลงบลูผสม มีเอลวิส เพรสลีย์ ซึ่งกำเนิดจากที่นี่ ไล่มาจนถึงนิวออลีน มิสซิสซิปปี ก็สุดๆ อารมณ์เหมือนใจมันจะขาด คือเราไปเจอแอฟริกันบูลส์ คุณจะเห็นเพลงบลูส์ตามข้างถนนซึ่งเขาจะมีจังหวะการเต้นรำของเขา มันเป็นความยิ้มแย้มแจ่มใสที่ทำให้มีความสุขและผมชอบมาก ผมก็ขับไปจนถึงแอลเอ คือ กลุ่มคนไทยในอเมริกาเวลารู้ว่าผมขับมอเตอร์ไซค์มา เขาก็อยากต้อนรับ ไม่รู้จักกันมาก่อน ก็ส่งข้อความมาหา เพื่อต้อนรับ อย่างคนไทยในชิคาโก้ต้อนรับ ที่เมืองฮุสตัน คนไทยได้ข่าวเขาก็ชวนผมไปปาร์ตี้อีก ทั้งที่แทบไม่รู้จักใครเลย

– ความท้าทายในการขับขี่ในอเมริกา

ความท้าทายคือกฎหมายแต่ละรัฐมันไม่เหมือนกัน เท่าที่สังเกต อเมริกาเป็นประเทศที่นิยมเรื่องสถิติ มีบางรัฐที่คนไม่ต้องใส่หมวกกันน็อคก็ไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าไม่ใส่แว่นผิดกฎหมาย มันขัดแย้งกับวิธีคิดของคนไทยมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะสถิติของเขาพบว่าคนประเทศเขาขี่มอเตอร์ไซค์เสียชีวิตเพราะแมลงเข้าตามากกว่าไม่ใส่หมวกกันน็อคก็เป็นได้ แต่บางรัฐก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น บางรัฐมอเตอร์ไซค์ก็ต้องต่อคิวกับรถยนต์เวลาจราจรติดขัด บางรัฐ มอเตอร์ไซค์สามารถเปลี่ยนเลนแบบเมืองไทยได้ กฎหมายการขับขี่ของเขาพัฒนามาจากสถิติของเขา ถ้าเราพัฒนาจากการศึกษาสถิติแบบนี้ก็จะดีมาก ดีกว่าวิธีไสยศาสตร์ มโนศาสตร์ อำนาจศาสตร์ (หัวเราะ)

-เจออะไรผิดไปจากที่คิดในการขับขี่ในอเมริกา

ได้เห็นบ้านเมืองที่แตกต่างหลากหลายไปจากที่คิด เช่นมีอยู่วันหนึ่งมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนไทยในเมืองชิคาโกซึ่งผมขอติดรถเข้าไปดูเมืองชิคาโกทางใต้ ก็พบความแตกต่างจากเมืองชิคาโกทางเหนืออย่างมาก ระยะทางห่างกันหาขับรถแค่ไม่กี่สิบกิโล ทางเหนือเป็นบ้านหรูหรา แต่ทางใต้แค่ร้านขายไส้กรอกก็จะมีช่องเล็กๆไว้ขายเท่านั้น ทั้งร้านมีแต่ลูกกรงล้อม จะซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตก็แค่มอง แล้วแจ้งเขา เขาจะหยิบมาให้ เข้าไปในร้านไม่ได้เพราะทุกอย่างเป็นลูกกรงหมด มีคนเกาะกลุ่มกันมากมาย แต่ไม่ได้โดนทำลายอะไรไปแค่แป๊บเดียว นั่นก็เป็นภาพที่ค่อนข้างขัดแย้งกันสำหรับผม

-ได้เข้าไปในเม็กซิโกหรือไม่ สองประเทศนี้ติดกัน แต่บ้านเมืองต่างกันขนาดไหนในความรู้สึก

เยอะมาก โดยทัศนคติของคนอเมริกา อย่างพรรคพวกคนไทยทั้งหมดซึ่งเราก็ฟังไว้ เม็กซิโกเป็นอะไรที่อันตรายมาก อย่างกลุ่มคนไทยในอเมริกา ตอนผมบอกว่าจะไปเม็กซิโกต่อ ถึงขนาดมีตัวแทนกลุ่มมาบอกว่าพวกผมจะรวบรวมเงินก้อนหนึ่งให้ “เฮียใช้”บินข้ามเม็กซิโกไปเลย ออกค่าขนส่งทางเรือให้ด้วย เพื่อที่จะไม่ให้ผ่านแม็กซิโก คือตลอดที่ผมอยู่ในอเมริกาก็ฟังจนนอยด์ แต่ผมเดินทางด้วยความเชื่อมั่นอยู่ข้อหนึ่งคือว่า แผ่นดินใดก็ตามที่มีมนุษย์อยู่ในโลกผมเชื่อว่ามันต้องมีหัวใจที่งดงามอะไรสักอย่างอยู่ ผมเชื่อแบบนี้จริงๆนะ แล้วผมก็ไป คือในเม็กซิโกถ้าเราไป search ดูเราจะเห็นข่าวแก๊งค้ายา รบราฆ่าฟันกันเองจนบางทีตำรวจหรือทหารเอาไม่อยู่ ชาวบ้านหมู่บ้านต่างๆต้องตั้งกองกำลังขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง นี่คือสิ่งที่คนทั่วไปรับรู้

– แล้วไม่กลัวเหรอ

ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับเราจะจัดการชีวิตเรายังไง ผมเป็นคนทำใจได้นะถ้าไปแล้วจะต้องเสียชีวิตไปเลยก็ไม่เป็นไร ไม่ถึงกับไม่กลัวตาย แต่คือถ้าถึงจุดที่ต้องตายก็ต้องตาย คือท้ายที่สุดไม่ใช่ว่าผมไม่ฟังคำเตือนจากทุกฝ่าย ผมคารวะในน้ำใจไมตรีของทุกคนโดยเฉพาะคนไทย ผมก็เลือกเส้นทางใหม่ ทำอย่างไรให้อยู่ในพื้นที่ตะเข็บชายแดนให้น้อยที่สุดเพื่อเลี่ยงความรุนแรง ผมตื่นตั้งแต่ตี 5 รีบผ่านแดน แล้วรีบขี่ไปเมืองใหญ่ที่ใกล้ชายแดนที่สุด ถ้าจำไม่ผิดชื่อเมืองชิวาวาห่างจากชายแดนเม็กซิโกประมาณ 300 กิโลเมตร

-ความรู้สึกหลังได้เข้าไปแล้ว

ผมชอบเม็กซิโกมากๆ ผมไม่กล้าสรุปว่าที่คนอื่นเจอมันคืออะไร แต่สิ่งที่ผมสรุปได้จากสิ่งที่เจอภายในระยะเวลาไม่นานในดินแดนเม็กซิโก คือผมชอบเสียงดนตรีและความรักในเสียงเพลงของเขา ผมชอบจังหวะจะโคนในการใช้ชีวิตของเขา ผมชอบการใช้ศิลปะผสมผสานกับสิ่งต่างๆในชีวิตของเขา อาหารเม็กซิโกมีความอร่อยหลากหลายมาก มากที่สุดที่นึง เขาสามารถนำชีสที่มีกลิ่น ผมขออธิบายว่าเหมือนกินรองเท้าแล้วกัน มาผสมกับข้าวโพด แล้วทำให้ข้าวโพดนุ่มนวล อร่อยมากเวลากิน คุณเข้าใจไหม? เหมือนคนไทยที่ทำส้มตำปลาร้า แต่มันคือความคลาสสิคของโลกนี้แล้ว คนไทยกินก็อาจจะไม่ชอบเพราะเป็นชีสกลิ่นที่เราไม่คุ้นเคย เช่นกัน คนเม็กซิโกมากินส้มตำปลาร้า ก็อาจจะไม่ไหว แต่สำหรับผมนี่คือสุดยอดคลาสสิคของโลกแล้ว

ในส่วนผู้คนเม็กซิโก ระหว่างทางที่ขับลงไปเราจะพบท่วงทำนองได้ยินเสียงเพลง ทุกจังหวะของก้าวย่างที่คุณอยู่ในประเทศนี้ แม่ค้าก็ฟังเพลง วันเสาร์อาทิตย์ในสวนสาธารณะ ก็จะมีคนจับกลุ่มมาเต้นรำ เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเสียงเพลง ในเมืองเม็กซิโกซิตี้ คุณจะพบคนชุดทักซิโด้ที่มีลวดลายแบบชาวเม็กซิกัน บางคนก็ถึงกีต้าร์ บางคนก็ถึงไวโอลินเต็มถนนเลย ก็สงสัยว่าเขายืนกันทำไม ดูไปสักพักจะเห็นรถมารับ มีการต่อราคากัน แล้วก็ขึ้นรถไปตรงนั้นเลย เพื่อไปเล่นดนตรี เรียกว่าเป็นการช้อปปิ้งวงดนตรีก็ได้ หรืออย่างคนเดินอยู่กับแฟนในสวนสาธารณะ นักดนตรี 7-8 คนก็จะมาล้อมคุณ คุยไปสักพักเขาก็จะเล่นดนตรีให้คุณฟัง แล้วก็ทิปให้เขาไป สำหรับผมมันวิเศษมาก นั่งอยู่เฉยๆได้เห็นคนเดินมาร้องเพลงเล่นดนตรีผมรู้สึกว่าชีวิตมันสดชื่นไง

-แล้วเจออันตรายอะไรบ้างไหม

เม็กซิโกไม่มีเหตุอะไรเลย เม็กซิโกจะมีความน่ารักอยู่อย่าง เวลาจอดติดไฟแดงก็จะมีคนมาเช็ดกระจกรถ คล้ายๆไทย ซึ่งผมมองว่าก็เป็นสีสันที่น่ารักน่ะ

จากเม็กซิโกผมก็จะไปกัวเตมาลา ฮอนดูรัส คอสตาริกา แล้วก็ปานามา อย่างไปผ่าน นิการากัว ก็พบว่าเป็นประเทศที่ชอบมวยมาก แล้วผมไปตอนที่เจ้าแหลม ศรีสะเกษ ชกกับ โรมัน กอนซาเลซ ซึ่งเป็นนักมวยขวัญใจคนทั้งประเทศของเขา แล้วไทยชนะ เป็นแชมป์โลก วันรุ่งขึ้นผมจะต้องข้ามแดนไปอีกประเทศหนึ่ง รถเราก็มีธงชาติไทยติดหราอยู่ การทำเรื่องก็ยุ่งยากต้องรอนานรถเราก็ใหญ่โดดเด่นมีคนเข้ามาชวนคุยเยอะ พอเห็นธงชาติไทยก็คุยเรื่องมวยทันที มันถามผมว่าคุณดูมวยไหม คุณคิดว่าอย่างไร ผมก็ต้องตอบทำเป็นไม่รู้ ผมไม่ชอบดูมวย (หัวเราะ)

-บรรยากาศการขับขี่ในอเมริกาใต้เป็นอย่างไร

เริ่มอเมริกาใต้ที่โคลัมเบีย เวลาคนพูดถึงโคลัมเบีย เราอาจจะติดภาพที่ดูจากหนังฮอลลิวูด ส่วนใหญ่เป็นด้านลบ เช่นภาพขบวนการค้ายาเสพติด ซึ่งมันอาจจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง เราก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมได้พบจากโคลัมเบีย เชื่อไหมว่าโคลัมเบียโคตรน่ารัก คนโคลัมเบียโคตรน้ำใจดี ดีแบบ ไม่น่าเชื่อ อันนี้ผมไม่ได้พูดจากการที่ผมเจอเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่มันเป็นความรู้สึกตลอดเวลาที่ผมได้อยู่ในประเทศนี้ ทุกคนมีไมตรีกับผมมาก แม้เราจะพูดภาษาเขาไม่ได้เลย ยกตัวอย่างเช่นผมเดินถ่ายรูปอยู่ข้างถนน ด้วยวิธีการเดินทางของผมที่ไม่ชอบไปเมืองใหญ่ๆเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่ผมชอบไปเมืองทั่วไป เวลาผมเห็นแนวหลังคาบ้านเมืองสวยๆผมก็จะเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ รถที่ติดอยู่ในเมืองเขาเปิดกระจกลงมาหลายคันเพื่อบอกผมว่า คุณไปถ่ายตรงโน้นสิ ตรงนั้นมีโบสถ์อยู่ เราก็แปลกใจ ถ่ายเสร็จเดินไปต่อ ก็เหมือนมีคนมองเรารอให้เราวางกล้องแล้วก็มาคุยกับเรา มาบอกเราว่าผมพาไปถ่ายไหมตรงโน้นสวยนะ แบบนี้

-เขาจะคิดเงินหรือเปล่า

ไม่ๆๆ คุณใช้ระยะเวลาในการเดินทางมากๆในชีวิต คุณจะมองแววตาคนออก มองคนเป็น อย่างผมนั่งกินอาหารริมฟุตปาธข้างถนน เป็นไส้หมูผัด อร่อยมาก ราคาแค่ 20 บาทถ้าคิดเป็นเงินไทย คุณรู้ไหมว่า ด้วยความที่เขาเห็นหน้าตาเราแล้วเรายิ้มอย่างเดียว เพราะเรามีความสุขกับการกินของที่เขาขายมาก รู้ไหมเจ้าของร้านเขาเรียกรถขายน้ำที่เป็นน้ำอัดลมให้จอด เพื่อซื้อน้ำอัดลมในราคา 30 บาทมาให้ผมดื่มฟรี ถ้าเป็นเรา เราคงไม่รับผิดชอบกับความไม่คุ้นชินของคนที่มาซื้ออาหารเราขนาดนั้น ผมคิดว่ามันคือการแสดงออกถึงความเป็นไมตรีของเขา

-รับมือกับอาหารแปลกๆ ซึ่งคนไทยทั่วไป มองออกไปเหมือนไม่อร่อยเลย ยังไง

เรื่องกินนี่ผมอันดับหนึ่งแล้ว ผมกินได้ทุกอย่าง ไม่ใช่ว่ามันไม่อร่อยคือต้องเข้าใจแบบนี้ คือคุณต้องคิดก่อนว่าอาหารมันอร่อย (หัวเราะ) จริงๆ คือผมชอบกินอาหารทุกอย่างที่คนเขากิน ผมไม่วิ่งเข้าร้านอาหารไทย ผมไม่จำเป็นต้องทำใจอะไร ผมรู้สึกชื่นชมในวัฒนธรรมอาหารของเขา ผมไม่มีความรู้สึกว่ามันจะต้องอร่อยหรือไม่อร่อย มองว่าอาหารของทุกประเทศดีหมด ผมไปกินของที่เขาปิ้งขายอยู่ข้างถนน ตัวมันเท่าลูกหมาตัวเล็กๆหน้าคล้ายๆกับแมวผสมหนู หน้าตามันไม่ดีเอามากๆ เขากินเราก็กิน

ผมกำลังจะอธิบายว่าคนเราถ้ารู้สึกรื่นรมย์กับชีวิต บางครั้งไม่ว่าชีวิตจะทุกข์หรือสุขเราก็อาจมีช่วงเวลาสวยงามกับมันได้บ้าง รู้จักเลือกที่จะมองมัน ที่จะเข้าใจมัน สิ่งที่เศร้าที่สุดในชีวิตอาจจะเป็นความสวยงามในชีวิตเราก็ได้ ถ้าเราเลือกมองที่จะเป็นสิ่งนั้น เราก็จะมีชีวิตที่รื่นรมย์ วิธีคิดแบบนี้มันสะท้อนจากการเดินทางเหมือนกันว่าเราจะกินอะไร ผมเลือกจะกินในสิ่งที่เขาเป็น แต่ผมก็มีเซ้นส์ ร้านไหนที่คนเยอะ ไม่ราคาถูกมันก็ต้องอร่อย อันนี้เป็นทฤษฎีตายตัวที่พิสูจน์มาแล้วว่าจริง แล้วทุกที่ที่ผมไปมันก็อร่อยจริงๆนะ ไม่ได้แกล้ง แม้กระทั่งสิ่งที่ดูเหมือนประหลาด เราเห็นแล้วรู้สึกกินเข้าไปได้อย่างไร มันก็ไม่ต่างกับการให้เขามากินผัดกระเพรา อันนี้เป็นเรื่องของมุมมอง

การเดินทางครั้งนี้ทำไมผมไม่ไปถ่ายรูปกับแลนด์มาร์ค ไม่มีภาพหอไอเฟล มาชูปิกชู ผมเลือกที่จะไปในจุดที่ผมคิดว่าสวย ซึ่งมันก็เป็นนิยามของแต่ละคนที่แตกต่างกัน ผมรื่นรมย์กับต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ริมถนน ผมรื่นรมย์กับแสงแดดที่สะท้อนออกมากลางทะเลทรายกลางแห้งๆและมีภูเขาอยู่ฉากหลัง ผมชอบที่จะนั่งอยู่ตรงนั้นสัก 2 ชั่วโมงด้วยความสบายอกสบายใจของผม เพราะความสวยงามของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นที่เราจะต้องมองความงดงามเหมือนกัน แต่ความรื่นรมย์ของชีวิตเป็นสิ่งจำเป็น ผมอยากเห็นชีวิตจริงๆของคนฝรั่งเศสเลยไม่มีภาพหอไอเฟล ผมอยากเห็นคนบัลแกเรียตามชนบทของเขา ได้เห็นอเมริกาในมุมที่เหมือนหลุดมาจากหนังคาวบอย นี่มันน่ารักจะตาย

-ประเทศสุดท้ายในอเมริกาใต้คือชิลี

คือรถผมมีปัญหาไปพังที่ เอกวาดอร์ เป็นการพังครั้งแรกและเป็นการทางครั้งใหญ่ ผมใช้รถ Kawasaki klr650 เป็นรถที่ผลิตในไทย แต่ว่าไม่ได้ขายในเมืองไทย นิยมใช้ในอเมริกาและอเมริกาใต้ อันนี้ก็ช่วยว่าถ้าเกิดปัญหาอะไรก็น่าจะมีอะไหล่รองรับ แล้วมันก็จริงด้วย รถรุ่นนี้ส่วนประกอบบางส่วนไม่ค่อยสมบูรณ์ เขาเรียกสปริงคอนโทรลโซ่ราวลิ้น ซึ่งเราก็ไม่ได้ศึกษาข้อมูลก่อนไปอย่างชัดเจนเพราะไม่มีฐานข้อมูลในเมืองไทย แต่ว่าฝรั่งที่เขาใช้จริง เขาซื้อมาแล้วเขาจะเปลี่ยนตรงนี้เลย เพราะเขาใช้นานๆแล้วเขารู้ แต่เราไม่รู้ แต่ก็เดินทางไปจนเกือบ 30,000 กิโลมันถึงพัง จากนั้นมันก็เริ่มลาม ซ่อมแรกที่ โคลัมเบีย เอกวาดอร์แล้วมาซ่อมใหญ่ที่ชิลี จนต้อง Overhaul เปลี่ยนลูกสูบกว้านเสื้อสูบ ในความหมายเปรียบเทียบ ก็น้องๆกับการเปลี่ยนเครื่อง ใช้ค่าใช้จ่ายเยอะมาก รวมๆไปโดนค่าซ่อมเกือบแสน จากชิลีก็จะลงไปทางใต้อีก 2-3 วันจึงตัดสินใจไม่ไป แล้วขนส่งรถจากชิลีไปออสเตรเลียซึ่ง ณ ขณะนี้ รถอยู่ที่ออสเตรเลียแล้ว

– แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่

ก็กลับมาไทยเพื่อทำวีซ่าไปออสเตรเลียแล้วก็รอรถขนส่ง ไปที่โน่น ใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมด 9 เดือน ส่วนที่ออสเตรเลียก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ ไม่รู้ด้วยว่าจะไปเส้นทางไหนแต่จะไปขึ้นที่ซิดนีย์ วีซ่าให้เวลานาน

-อยากเห็นอะไรในออสเตรเลีย

ไม่อยากเห็นอะไรเฉพาะ ถ้าอยากเห็นก็คืออยากเห็นความเป็นออสเตรเลีย โอเคอยากเห็นชาวอะบอริจิน คือตอนนี้ผมก็มีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณที่เหลือน้อย จากออสเตรเลีย ผมก็คาดหวังจะขี่เข้ามาที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย แล้วก็เข้าไทยจากทางใต้ คือที่ผมต้องบินจากชิลีมาไทยไม่ไปออสเตรเลียเลย เพราะรถที่ขนส่งจากชิลีใช้เวลาถึง 2 เดือน และผมต้องมาขอวีซ่าเพราะไม่สามารถขอวีซ่าล่วงหน้าได้

-ประเทศที่เจ้าหน้าที่รัฐใจดีสุด

เยอะๆมากๆ ทุกประเทศๆ ถ้าใจไม่ดีมันคงไม่ให้เราผ่านหรอกมั้ง (หัวเราะ) บางทีมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาบางทีมันขึ้นอยู่กับเรา รอยยิ้มของเรามันขายได้จริงๆ เดินทางมาขนาดนี้มีประสบการณ์มาพอสมควร สิ่งหนึ่งที่เราน่าจะชื่นชมตัวเราเองคือรอยยิ้มของคนไทย อย่างในยุโรปหัวใจเขาดีแต่ก็ยิ้มยาก

-เมื่อไหร่จะหยุดผจญภัย

เรียกว่าผจญภัยใช่ไหม ไม่รู้ … (หัวเราะ)

-เรื่องเงินบอกได้ไหม

ผมเดินทางมาแล้วประมาณ 4 หมื่นกว่ากิโลเมตร ใช้เงินประมาณ เจ็ดแสนแปด -เจ็ดแสนเก้า คือการกินใช้มันถูก แต่การขนส่งรถมันแพง ส่งทางน้ำ ขึ้นเครื่องบินบ้าง รวมกันก็ 4 แสนกว่าบาทแล้ว กินใช้จริงๆก็ประมาณ 3 แสน อาศัยนอนวัดบ้าง ข้างถนนบ้าง กางเต้นท์บ้าง นอนโฮสเทล

-มีอะไรที่อยากทำอีกในชีวิตนี้

ผมอยากเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ การเดินทางการได้เห็นสิ่งต่างๆมันทำให้เราเห็นตัวเราเองมากขึ้น การที่เราเห็นตัวเราเองชัดเจนมันทำ เราเห็นอัตลักษณ์ของตัวเอง ทำให้เรารู้ว่าเราจะทำอะไร จะขายอะไร ยกตัวอย่าง ยางตลาดน้ำท่าคาซึ่งเป็นตลาดโบราณ ในปี 2561 ผมยังเห็นการแลกเปลี่ยนสิ่งของในแบบสมัยก่อนอยู่เลย นี่มันคือความจริงที่เราเห็นมากับตาและมันคือชีวิตของเขา มันคืออัตลักษณ์ของเรา และผมคิดว่าคนอื่นเขาก็อยากเห็นอยากดูอะไรแบบนี้ ไม่ใช่ตลาดน้ำที่มีหน้ากากบาหลีมาขาย ไม่ใช่ตลาดน้ำที่มีแต่ของเล่น made in china มาขาย เมืองไทยเราเป็นแบบนี้ทั้งนั้น

 

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image