| ที่มา | มติชนรายวัน หน้า 18 |
|---|---|
| เผยแพร่ |
คงได้เห็นรายชื่อและการแสดงท่าทีของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จำนวน 498 คน และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 250 คน ไปบ้างแล้ว ทำเอาหลายคนอดไม่ได้ที่จะวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์การเมืองไทยจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร จนอาจหลงลืมรายละเอียดสำคัญอย่างเรื่อง สัดส่วน ส.ส.และ ส.ว.ผู้หญิงของไทยปี 2562 ที่ครั้งนี้มีสัญญาณที่ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา
นางเรืองรวี พิชัยกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา และผู้ประสานงานขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย (วีมูฟ) กล่าวว่า การเลือกตั้งปี 2554 ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นเรามีสัดส่วน ส.ส.หญิงในสภามากที่สุดถึงร้อยละ 24 ทว่ามาในลักษณะตัวแทนของคนในครอบครัว ตัวแทนของผู้ชายที่ถูกแบนทางการเมืองมากกว่า การเลือกตั้งครั้งนั้นจึงไม่มีนัยยะการได้ ส.ส.ผู้หญิงที่แท้จริง แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ที่แต่ละพรรคมีการถ่ายเลือดใหม่ และให้โควต้าผู้สมัครหญิงในรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ลำดับต้นๆ หรือกำหนดสัดส่วนผู้สมัครชายต่อผู้สมัครหญิง เช่น 1 ต่อ 4, 1 ต่อ 7 ทำให้มี ส.ส.หญิงเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ
การเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้มีผู้หญิงได้เข้าไปนั่งในสภาถึง 78 คน จากทั้งหมด 498 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 15.8 แบ่งเป็น ส.ส.เขต จำนวน 53 คน และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ จำนวน 25 คน ซึ่งพรรคที่มี ส.ส.หญิงมากที่สุด อาทิ พรรคพลังประชารัฐ 22 คน เพื่อไทย 21 คน อนาคตใหม่ 17 คน ฯลฯ
ผู้ประสานงานวีมูฟกล่าวอีกว่า ที่น่าสนใจของ ส.ส.หญิงครั้งนี้คือ การได้ ส.ส.หญิงปาร์ตี้ลิสต์ถึง 25 คน จากทั้งหมด 149 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 17 จากการเลือกตั้งที่ผ่านๆ มาจะมี ส.ส.หญิงปาร์ตี้ลิสต์ต่ำกว่าร้อยละ 10 มาตลอด ตรงนี้ สะท้อนว่าแต่ละพรรคการเมืองได้ให้ความสำคัญผู้หญิง ด้วยการใส่รายชื่อในลำดับต้นๆ ถือว่าเข้ากับเทรนด์โลก ที่มีการกำหนดโควต้าให้ผู้หญิงในรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เพราะจะทำให้ผู้หญิงมีโอกาสได้เป็นมากกว่า
ส่วนการสรรหา ส.ว.ครั้งนี้มีผู้หญิงเข้าไปนั่งในสภาถึง 26 คน จากทั้งหมด 250 คน คิดเป็นร้อยละ 10.4 ถือว่ามากกว่าสัดส่วนผู้หญิงในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีจำนวน 12 คน ซึ่งเมื่อพิจารณารายชื่อ ส.ว.หญิง เรืองรวียอมรับว่า “ดีใจว่าผู้หญิงที่ได้ ไม่ได้เป็นทหารตำรวจ แต่เป็นคนที่มาจากหลากหลาย เป็นคนมีชื่อเสียง ที่ดิฉันคิดว่าค่อนข้างดูดีหลายคนอย่าง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์, นางเพ็ญพักตร์ ศรีทอง, นางศิรินา ปวโรฬารวิทยา ก็ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้มีสังกัดอะไร แม้บางคนอาจมีเครือญาติของนักการเมือง แต่โดยรวมถือว่ามี ส.ว.หญิงที่ดูดีมากกว่าครึ่ง”
ไม่เพียงแต่สัดส่วน ส.ส.-ส.ว.หญิง ยังพบนโยบายของแต่ละพรรคการเมือง ล้วนมุ่งเน้นนโยบายด้านสังคม ทำให้เธอเชื่อว่าจะเกิดความร่วมมือข้ามพรรคของนักการเมืองหญิง ในการผลักดันนโยบาย สิทธิ และกฎหมายเกี่ยวกับเด็กและผู้หญิง
“การทำงานข้ามพรรคที่ผ่านมาเคยมีในรูปแบบชมรมรัฐสภาสตรี ซึ่งเป็นการผนึกกำลังของ ส.ส.-ส.ว.หญิงในการผลักดันประเด็นที่เกี่ยวกับเด็กและผู้หญิง แต่ด้วยความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงในปี 2549 ทำให้ชมรมนี้สูญหายไป ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ที่แต่ละพรรคประกาศนโยบายด้านสังคมชัดเจน และมีจุดร่วมกันเยอะมาก ตั้งแต่การดูแลตั้งแต่เด็กและผู้หญิงตั้งแต่ตั้งครรภ์ แก้ปัญหาความรุนแรง เน้นเรื่องความปลอดภัย ส่งเสริมผู้ประกอบการหญิง ตลอดจนสร้างความมั่นคงต่างๆ
ฉะนั้น หากแต่ละพรรคไม่ติดในตัวตนเกินไป ก็อยากให้มาร่วมกันผลักดันประเด็นด้านสังคม เพราะเพียง ส.ส.หญิงรวมตัวกัน 20 คน ก็สามารถเสนอกฎหมายที่เกี่ยวกับเด็กและผู้หญิงได้แล้ว”
นางเรืองรวี กล่าวอีกว่า ส่วน ส.ว.หญิงที่แต่ละคนมีความเป็นอิสระอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาต้องโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และตัดสินใจโหวตอะไรก็ตาม ก็อยากให้กล้าหาญพิจารณาถึงความถูกต้องและมีเหตุผล แม้จะมีความคิดเห็นเป็นเอกเทศ แตกแถว ก็ต้องออกเสียง เพราะอยากให้พวกเธอได้สร้างภาพลักษณ์ ส.ว.หญิงไม่ได้ตกอยู่ในอาณัติใคร จะถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากและเป็นประวัติศาสตร์มาก
“อยากให้ ส.ส.และ ส.ว.ทำงานร่วมกับภาคประชาชน อย่าเผลอตัวว่าได้รับการเลือกตั้งแล้วฉันเก่ง เพราะส่วนตัวเชื่อว่าคงจะมีการเลือกตั้งใหญ่เร็วๆ แน่ ยิ่ง ส.ส.บางคนที่ได้ตำแหน่งมาง่ายๆ ได้มาอย่างงงๆ ก็อยากให้เตรียมตัวสร้างฐานเสียงของตัวเองไว้ และด้วยรัฐธรรมนูญที่คงเข้าไปแก้ไขยาก ก็อยากให้ใช้ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ คือในมาตรา 71 ที่ระบุถึงการจัดทำงบประมาณ จะต้องคำนึงมิติหญิงชาย ประเด็นนี้ถือเป็นเทรนด์ของโลกที่ต้องไปศึกษา
เมื่อเข้าสู่เดือนสิงหาคม-กันยายน ที่เป็นช่วงจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี หากกลุ่มก้อนพรรคการเมืองไหนหยิบเรื่องนี้ คิดว่าจะได้ใจประชาชนเพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน และสลัดภาพการเมืองดั้งเดิมออกไป” นางเรืองรวีกล่าวทิ้งท้าย
สัญญาณดี…ผู้หญิงทางการเมือง
