พูดถึงแวดวงอัญมณีในประเทศไทยแล้ว แน่นอนว่าชื่อแรกที่แวบเข้ามาในความคิดของใครหลายคนคงไม่พ้น หนึ่ง-สุริยน ศรีอรทัยกุล นักธุรกิจหนุ่มคนดังวัย 43 ปี กรรมการผู้จัดการบริษัท บิวตี้ เจมส์ จำกัด และบริษัทในเครือ ผู้สร้างปรากฏการณ์ในแวดวงเครื่องเพชร-อัญมณีไทยให้เปรี้ยงปร้างหลายต่อหลายครั้ง
และหากจะพูดถึง “บิวตี้เจมส์” ในประเทศไทย หลายคนอาจจะรู้จักกับความเป็นแบรนด์อัญมณีที่เหล่าเซเลบริตี้ช้อปกันทีหลายสิบล้านบาท แต่ความจริงแล้วนั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะแบรนด์ยักษ์ใหญ่นี้เป็นแบรนด์ผู้ผลิตที่เน้นการส่งออกไปยังทวีปต่างๆ ทั่วโลกมากว่า 52 ปี และเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้ธุรกิจอัญมณีก้าวขึ้นเป็นอุตสาหกรรมใหญ่อันดับที่ 3 ของประเทศไทย ด้วยรายได้ที่สร้างให้กับประเทศกว่า 4 แสนล้านบาท รองจากอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนรถยนต์
“อดีตธุรกิจเราเป็นทั้งร้านค้าและโรงงานอยู่ในตึก 5 ชั้นแถวเจริญกรุง ตั้งแต่เด็กคุณพ่อคุณแม่จะจ้างเก็บเพชรที่ตกอยู่ตามพื้นเม็ดละ 300 บาท ก็รู้สึกว่านั่นมันมีค่ามาก เราอยู่อย่างนั้นจนผูกพันกับมัน เป็นความรัก จนเรียนจบก็เข้ามาช่วยธุรกิจนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ร่วมกับคุณสุรสิทธิ์ พี่ชายที่จะบริหารโรงงานและขยายตลาดไปยังอเมริกา ส่วนของผมเองจะดูเรื่องการออกแบบ ดีไซน์เป็นหลัก ส่วนใหญ่บิวตี้ เจมส์จะเน้นการส่งออกเป็นหลัก ทุกวันนี้แม้เศรษฐกิจไม่ดีแต่ตลาดอัญมณีก็ไม่ได้ตกลง ยังคงเติบโตขึ้นเพราะมีเศรษฐีต่างประเทศมากขึ้นๆ ทุกวัน” หนึ่ง-สุริยน เล่าถึงความผูกพันของเขากับเพชร
“ตอนเริ่มเข้าทำงาน ผมวางเป้าหมายไว้ว่าอยากเห็นตลาดในเมืองไทยโตขึ้น อยากให้ของดีๆ อยู่กับคนไทย แม้ว่ากำไรจะไม่เยอะมากก็พยายามสร้างความรับรู้ว่าอัญมณีไทยนี้ดี จากยุคหนึ่งที่คนจะด่าว่าไฮโซห่มเพชร เว่อร์วัง ทุกวันนี้คนรู้ว่าการซื้อเพชรก็เหมือนการเก็งกำไรที่ดิน จาก 5 แสนเป็น 2 ล้าน จาก 2 ล้านเป็น 5 ล้าน ตอนนี้เรามีลูกค้าประจำในประเทศนับพันราย และยังมีโอกาสได้ทำงานใหญ่ๆ หลายครั้ง”
ตลอดการทำงาน “ที่สุด” ของความภูมิใจของเขาคือการได้จัดสร้าง “เครื่องทรงพระแก้วมรกต” ทั้ง 3 ฤดู เมื่อปี 2538
“ครั้งนั้นเราได้รับมอบหมายให้จัดหาเครื่องทรงทั้ง 3 ฤดูใหม่ ซึ่งเป็นงานที่ยากเพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องเป็นผู้ทรงเองทั้ง 3 ฤดู เราต้องจัดหาอัญมณีให้ทันในเวลาไม่นาน ผมเองต้องจัดหาพลอยทั้งหมดที่มีในเครื่องทรง อย่างฤดูร้อนต้องใช้พลอยเป็นหมื่นชิ้นในการจัดสรร ใช้ไพลิน 100 กะรัต กว่า 9 เม็ด ที่หากว่า 3 เดือนก็หาไม่ได้ ต้องไปขอพรจากพระแก้วมรกต สุดท้ายเราก็ได้คอลเล็กชั่นหนึ่งเข้าชุดพอดี”
นอกจากจะวางอนาคต บิวตี้ เจมส์ แล้ว กับแวดวงอัญมณี สุริยนในฐานะอุปนายกสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ ก็อยากจะสร้างอุตสาหกรรมนี้ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย
“ในโลกนี้มีไม่กี่อย่างที่หากคิดถึงแล้วจะเลือกซื้อแบรนด์ไทยอันดับแรก แต่กับอัญมณีมันใช่ ทั้งๆ ที่เราต้องนำเข้าเพชรมาแปรรูปทั้งหมด 100% แต่สามารถเพิ่มมูลค่าในประเทศได้มากกว่า 35% ก็เหมือนกับสิงคโปร์ที่เขาไม่มีอะไรเลยแต่สร้างประเทศขึ้นมาได้ นี่คือศักยภาพที่ผมอยากให้อัญมณีเป็นธุรกิจหลักพัฒนาชาติเช่นกัน ผมจึงย้ำทุกครั้งเพื่อให้อุตสาหกรรมนี้ก้าวหน้าไปได้”
และไม่เพียงแต่การเป็นนักธุรกิจเท่านั้นที่คุ้นตาคนทั่วไป กับบทบาท “พิธีกร” รายการเดอะ โพล ของเจ้าตัว ก็ดูโด่งดังไม่แพ้กัน
“กับงานพิธีกรที่ทำอยู่ เวลาเขาสั่ง 5 4 3 2 มันเหมือนมีอะไรมาสิงเราทันที เหมือนเราได้ส่งสารสร้างแรงบันดาลใจผ่านจอดำๆ ให้คนดูเป็นล้านได้ อาจจะไม่ถึงกับเปลี่ยนแปลงชีวิตแต่ก็อาจทำให้เขาฉุกคิด ซึ่งต้องขอบคุณอาจารย์ที่บอกผมเสมอว่าเราต้องเคารพคนดูก่อน บางคนอาจคิดว่าผมเล่นๆ แต่ไม่นะ ผมไปสอบใบผู้ประกาศ และไม่ได้ทำเป็นอาชีพเสริม พูดเลยว่า ไม่ได้มาเล่นๆ (หัวเราะ) ทำไปทำมาก็ 360 ตอนแล้ว”
“งานนี้มันช่วยบาลานซ์ชีวิตผมได้มากทีเดียว เวลามีเรื่องเครียดๆ เราก็ต้องคิดว่าไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นดั่งใจเราได้ ก่อนจะหันมามีด้านสนุกสนานบ้าง งานพิธีกร ถ่ายแบบ เดินแบบ เล่นอินสตาแกรม ไปเที่ยวบ้าง พอเปลี่ยนบรรยากาศก็เหมือนชาร์จไฟทำให้มีแรงต่อ”
ซึ่งนอกจากอัญมณีและพิธีกรแล้ว ใครจะคิดว่าเขาใช้เวลากว่า 10 ปี ในการทำงานภาคสังคมเรื่องเด็ก ผ่านมูลนิธิพิทักษ์และคุ้มครองเด็ก
จุดเริ่มต้นของการหันมาจับเรื่องนี้นั้น สุริยนเผยว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีโอกาสได้คุยกับท่านฟิลลิป โซเรนเซ่น ที่ปรึกษาคนสนิทของพระมหากษัตริย์และพระราชินีแห่งสวีเดน ที่ทำให้ได้เล็งเห็นความสำคัญของภาพลามกอนาจารเด็ก ที่ชาวต่างชาติเข้ามาถ่ายทำและส่งออกไปทั่วโลก จนรู้สึกว่าจะปล่อยให้อนาคตของชาติเผชิญปัญหานี้ต่อไปไม่ได้ เป็นที่มาของ พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยเรื่องสื่อลามกอนาจารในเด็ก ที่ใช้เวลาผลักดันกว่า 4 รัฐบาลกว่าจะผ่านได้
กลายเป็นความสำเร็จที่สุริยนย้ำว่านี่ล่ะทำให้เขา “มองหน้าลูกอย่างเต็มตา”
“พ.ร.บ.นี้ ผมถือว่าทำให้กับคนรุ่นหลัง เพราะเรื่องแบบนี้แค่เปิดดูครั้งหนึ่ง ก็เหมือนการข่มขืนเด็ก 1 ครั้ง มันจะติดตัวเขาไปจน 40-60 ปี มันแย่ ซึ่งเมื่อกฎหมายผ่านแล้วก็ต้องช่วยกันเผยแพร่ชุดข้อมูลให้คนทั่วไปรับรู้ต่อ เป็นหน้าที่อีกอย่างหนึ่งในการปกป้องเด็กของเรา”
“อย่างไม่นานมานี้ทาง ส.ส.ของอินโดนีเซียก็มาถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ชาวต่างชาติที่ถ่ายภาพลามกจึงหนีไปอินโดนีเซียหมด เราก็บอกว่าเพราะเรามีกฎหมายนี้ และเป็นเรื่องน่าดีใจที่ทุกชาติในอาเซียนเห็นพ้องต้องกันที่อยากจะมีกฎหมายแบบนี้ จึงเกิดการประชุม The Global Child Forum on Southeast Asia ขึ้นที่มาเลเซีย และเชิญประเทศไทยไปร่วมถอดแบบเรียนเป็นตัวอย่างให้กับเขา ถือเป็นนิมิตหมายอันดีต่ออนาคตของอาเซียน ซึ่งผมก็อยากผลักดันต่อไป”
“และแม้จะทำอะไรหลายอย่าง แต่ผมก็พยายามจะทำทุกสิ่งให้ดี ก่อนที่วันหนึ่งจะส่งต่อสิ่งเหล่านี้ให้กับรุ่นต่อไปอย่างเต็มภาคภูมิ”
อีกหนึ่งผู้ชายหลายมุม