“เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย”
หลายครั้งกลายเป็นวลีที่ถูกหยิบยกมาพูดถึง เมื่อได้รับฟังเรื่องราวชีวิตของใครหลายคน
บ้างเป็นเรื่องเศร้า ที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ แต่บางเรื่องก็เป็นความตั้งใจที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น
โดยเฉพาะกับ “ความรุนแรงในครอบครัว”
บนเวทีถอดบทเรียน “เรื่องเล่าผู้ประสบความรุนแรง และคนทำงานคุ้มครองสิทธิ” ของมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม ณ ห้องวิภาวดี โรงแรมเดอะ ปริ๊นส์ตั้น พาร์ค ดินแดง
นำเรื่องราวของผู้หญิงที่ถูกกระทำความรุนแรงจากสามี ถูกพรากลูกจากชีวิต บ้างนำมาซึ่งตอนจบที่แม้จะแยกทางแต่ก็ยังได้ดูแลลูก ขณะที่บางเหตุการณ์ก็นำมาซึ่งความสูญเสีย เมื่อภรรยาผู้ถูกกระทำความรุนแรงมาหลายปี พลาดใช้มีดปลิดชีวิตสามี ขณะที่ตัวเองช็อก ไม่สามารถควบคุมสติและอารมณ์ได้อีกหลายปี
บางเรื่องกลับเป็นความรุนแรงของลูกสาวที่ถูกมอบสถานะใหม่จากคนในครอบครัวของเธอเอง
วงเสวนาเปิดเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งที่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิ เธอเป็นลูกสาวคนที่ 2 ของครอบครัว ถูกแม่ขอให้ถ่ายภาพและคลิปอนาจารเพื่อหารายได้เข้าครอบครัว แม่ยืนยันจะไม่ให้สอดใส่อวัยวะเพศในตัวลูก วันหนึ่งหลังจากกลับจากโรงเรียน พ่อให้อาบน้ำ ตั้งกล้องถ่ายภาพ ทำทีจะมีเพศสัมพันธ์ ครั้งแรกผ่านไปอย่างเรียบร้อย
ครั้งที่ 2 พ่อก็ขอให้ลูกสาวทำเช่นเดิม แต่ครั้งนี้พ่อสอดใส่จริง แม้ลูกสาวจะขัดขืน บอกกับพ่อว่าเจ็บ แต่พ่อกลับพูดว่า “ถือว่าหาเงินให้ที่บ้าน” ผ่านไปนับ 2 ปี เด็กสาวถูกพ่อบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ตลอดมา ทั้งในห้องน้ำ ระเบียงบ้าน และถูกห้ามบอกแม่ “ไม่เช่นนั้นแม่จะเกลียด”
กระทั่งเด็กสาวเข้าเรียนมหาวิทยาลัย จึงตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับแม่ ไม่เพียงแม่ไม่ช่วยเหลือ กลับบอกว่าเธอใส่ร้ายพ่อ ก่อนจะพูดอีกว่า ให้อดทนจนจบมหาวิทยาลัย
ทำให้เธอตัดสินใจเข้าไปแจ้งเรื่องนี้กับทางมหาวิทยาลัยและมูลนิธิ จนเรื่องนี้ได้รับความช่วยเหลือ และถูกดำเนินคดีสู่ชั้นศาล โดยมีอธิการบดี คณบดี เข้าช่วยเหลือให้ที่พักอาศัยอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย และยังได้รับทุนการศึกษาจนจบปริญญาตรีในรั้วมหาวิทยาลัยนี้ เธอจะมีความปลอดภัย เพราะระหว่างที่กำลังดำเนินคดีนี้ พ่อและครอบครัวยังคงตามมาราวี คุกคามเธออยู่ตลอด
เช่นเดียวกับการแจ้งความ ที่เธอและมูลนิธิต้องใช้เวลานานกว่าจะแจ้งความได้ เนื่องจากในขณะนั้นเธออายุเกิน 20 ปีแล้ว และเหตุก็เกิดมานานแล้ว ทำให้ต้องรอนานข้ามวันกว่าจะได้แจ้งความ ตำรวจก็ต้องรับแจ้งเหตุอื่นที่รีบกว่าก่อน
ทนายเล่าว่า “เด็กสาวคนนี้ถูกเลี้ยงดูแบบไม่ค่อยได้พบกับโลกภายนอกแม้จะเป็นเด็กยุคดิจิทัล” ก่อนจะขยายความว่า แม้แต่โทรทัศน์เธอก็มักจะไม่ได้ดู เช่นเดียวกับโทรศัพท์ที่มีไว้เพื่อให้พ่อโทรตาม วันละกว่า 15 ครั้ง ขณะที่ญาติพี่น้องเธอก็ไม่ค่อยรู้จักมากนัก เพราะพ่อไม่เคยพาไปงานต่างๆ ของครอบครัว จะมีก็แต่เพียงไปร่วมงานศพบางครั้ง ทำให้เธอโดดเดี่ยวและไม่ค่อยมีสังคมนอกจาก “ครอบครัว”
“ช่วงหนึ่ง เราให้เขาได้เตรียมความพร้อมไปโรงเรียนทำใจ ในบ้านพักฉุกเฉิน เธอไม่ค่อยคุยกับใคร ไม่กล้าสบตาใคร จนได้เจอกับคนที่มีประสบการณ์เหมือนๆ กัน ได้เรียนรู้ว่าทำอย่างไรจึงผ่านมาได้ ก็ทำให้เธอกล้าเปิดใจยิ่งขึ้น”
ในคดีเช่นนี้ ทนายเล่าว่า ผู้ถูกกระทำอาจจะเจอคำพูดที่ทำร้ายจิตใจ และโทษว่าอกตัญญู ทำร้ายพ่อแม่ให้เสียใจ เป็นที่มาให้ทีมทนายต้องเตรียมความพร้อมผู้ถูกกระทำให้มีสภาพจิตใจที่พร้อม และเตรียมใจว่าเธออาจจะไม่มี “ครอบครัว” อีกแล้ว
และในวันพิจารณาคดีก็เป็นไปดั่งที่ทีมทนายได้คาดเดาไว้ ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงทุ่มกว่าๆ แม่คอยจะหาโอกาสให้ได้คุยกับลูกเพียงลำพัง ทำให้ต้องมีเจ้าหน้าที่ 3-4 คน คอยอยู่เป็นเพื่อน แม่ที่ไม่ได้เจอลูกมาปีกว่า เมื่อได้โอกาสก็กอดลูกแล้วกระซิบว่า ลูกทำให้แม่เสียใจ ให้ถอนฟ้องเสีย ลูกกำลังทำให้คนทั้งครอบครัวเดือดร้อน สร้างความเสียใจให้กับเธอ ที่คาดหวังจะได้เจอแม่อีกครั้ง กอดกันด้วยความอบอุ่น แต่วันนั้นคงไม่มีอีกแล้ว
วันนั้น ผู้ถูกกระทำรายนี้ได้กล่าวกับน้องสาวเธอว่า “แล้ววันหนึ่ง น้องจะเข้าใจว่าทำไมพี่ถึงทำแบบนี้”
ขณะนี้กรณีดังกล่าวกำลังเข้าสู่ชั้นศาล ผู้ถูกกระทำยังคงบอกว่าเธอไม่ได้รู้สึกเกลียดพ่อแม่ของเธอ แค่ไม่อยากอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นอีกต่อไป ที่ผ่านมา ก็แค่กลับมารักตัวเองให้มาก เลือกความถูกต้องและพร้อมจะสู้ต่อไป