เปิดใจทั้งน้ำตา! ‘เฌอเอม’ สุดเจ็บปวด เคลียร์เข้าใจผิดปมผจก. ยันไม่สละสิทธิ์ 

เปิดใจทั้งน้ำตา! ‘เฌอเอม’ สุดเจ็บปวด เคลียร์เข้าใจผิดปมผจก. ยันไม่สละสิทธิ์ 

เมื่อวันที่ 29 กันยายน นางสาวชญาธนุส ศรทัตต์ หรือ เฌอเอม ผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 พร้อม เคน สิทธิชัย เร็ววิโรจน์ และ ทนายนิด้า – ศรันยา หวังสุขเจริญ หรือ  แถลงข่าวเปิดใจครั้งแรกกรณี ‘นางงามตัวเต็ง’ ผู้จัดการส่วนตัวเป็นหนึ่งในทีมงานของกองประกวด ทำให้ล่วงรู้ความลับต่างๆ ของกอง จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจไม่เป็นธรรมกับนางงามคนอื่นนั้น ท่ามกลามสื่อมวลชนทุกสำนักที่มารอทำข่าวอย่างล้นหลาม

เฌอเอม เปิดใจว่า ตอนแจ้งกองประกวดเอมไม่มีผู้จัดการ และไม่มีคนดูแล แต่ก่อนพูดประเด็นนี้ ขอแจ้งก่อนว่าในวงการบันเทิง จะมี 4 คำ คือ โบรกเกอร์ กัลยาณมิตร พี่เลี้ยง และผู้จัดการ โดย “โบรกเกอร์” คือนายหน้าหางาน ดิวแค่จ๊อบบายจ๊อบ แค่หางานเท่านั้น เรื่องอื่นไม่ยุ่ง ส่วน “กัลยาณมิตร” เป็นเพื่อนเป็นพี่น้องที่หยิบยืมความช่วยเหลือให้กันและกัน “พี่เลี้ยง” ในที่นี้ขอพูดถึงพี่เลี้ยงนางงาม ที่จะดูแลเรื่องการประกวดทุกส่วนที่เกี่ยวกับการประกวด ชีวิตประจำวันตลอดเวลาที่อยู่ในกอง ซึ่งบางทีก็จบเวทีต่อเวที เค้าไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา และ “ผู้จัดการ” เป็นคำที่กว้างที่สุด เป็นคำที่คนทั่วไปเข้าใจมากที่สุด คือ คนที่เราตกลงให้จัดการเรื่องต่างๆ ในชีวิต อาจจะเป็นทั้งงานหรือชีวิตส่วนตัว ซึ่งต้องรู้ทุกอย่างในชีวิตของเรา เป็นเรื่องความต่อเนื่องจนกว่าจะยกเลิกสัญญาจ้างต่อกัน

“ซึ่งพี่เคนเป็นโบรกเกอร์ เอมกับพี่เคนไม่ได้มีสัญญาต่อกัน เอมต้องขอโทษจริงๆ (ยกมือไหว้) ในความผิดพลาดด้านการสื่อสาร ที่เอมพยายามอธิบายให้มันรวดเร็วและง่าย”

Advertisement
มีประเด็นข้อสงสัย เคนเอาข้อมูลกองมาบอกเฌอเอม เช่น รู้คีย์เวิร์ดรอบออดิชั่น?

เฌอเอม ปฏิเสธว่า ไม่เคยเห็นคีย์เวิร์ด และยืนยันด้วยชีวิตว่าไม่เคยเห็นคีย์เวิร์ด พี่เคนไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษ เพราะเป็นโบรกเกอร์ และไม่ได้คุยเรื่องชีวิตส่วนตัวอยู่แล้ว เมื่อก่อนไม่ได้สนิทขนาดนี้ด้วย รู้จักกันตอนเอมอยู่ต่างประเทศ เมื่ออยู่ไทย พี่เคนก็หางานให้บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าหาแล้วได้ทำ

ในกองได้มีการพูดคุยหรือมีการมาแนะนำอะไรกันไหม เพราะดูมีพฤติกรรมบางอย่างที่สนิทสนมกัน โดยเฉพาะในช่วงเก็บตัว?

เอมคุยกับทุกคนในกองด้วยความเป็นมิตร เอมอยู่กับทุกคนมีความสุขและสนุกมากๆ ซึ่งสิ่งนี้ เราไม่ได้ทำเพื่อคะแนน (น้ำเสียงสะอื้น) แล้วที่หัวหิน พี่ๆทุกคน (สื่อมวลชน) ที่อยู่ตรงนี้ครึ่งหนึ่งก็เคยคุยกับเอมมาก่อนแล้ว เอมขอถามว่า วันนั้นเป็นพี่ๆ ที่อยากคุยกับเอม หรือเอมเดินเข้าไปหาพี่ๆ ให้สัมภาษณ์คะ เอมถูกคนพาไปหน้าแบล๊คดรอป และก็ไม่มีใครอยู่กับเอมในเวลานั้น เอมไม่ได้รับอะไรเลย สิทธิพิเศษมันคือการเอาเปรียบ ในเมื่อเราทำทุกอย่างเหมือนเพื่อน เราเป็นเหมือนเพื่อน เราทำพร้อมเพื่อน และสิทธิพิเศษอันนั้นมันคืออะไร

สำหรับเรื่องนี้ เอมทราบว่า มันมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น อาจเป็นเรื่องการสื่อสารภายในอะไรบางอย่างที่เอมก็ไม่ทราบ เพราะหลังจากที่เอมพบกับพี่ปุ้ย ก็เกิดโพสต์นั้นขึ้น และเกิดโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว

Advertisement

ซึ่ง เคน ได้เล่าสถานการณ์ว่า ในวันนั้นที่เราจะเข้าไปคุย เราก็รู้อยู่เต็มอกว่า เราเป็นผู้ดูแลสปอนเซอร์ชิป น้องหันซ้ายหันขวาไม่มีใคร ด้วยความที่น้องทำงานเหนื่อยมาก และน้องทำงานไม่ไหว น้องบอกกับเราว่า ถ้าหนูจะให้พี่มาซัพพอร์ตหนู โอเคไหม ซึ่งเราก็บอกว่า เราเป็นคนในกอง จึงคุยกันว่า เข้าไปหาผู้ใหญ่เพื่อหาไดเรคชั่นร่วมกันว่าควรจะทำยังไง ถ้าเราจะเข้าไปดูน้องและเราจะไม่น่าเกลียด ให้รู้ว่าสิ่งที่เราทำมันโอเค และแนวทางแก้ไขจะเป็นไปในทางไหน แต่เราก็ไม่ได้รับ

เฌอเอม : ไม่ได้รับฟีดแบคอะไร ต้องบอกว่า ก่อนหน้านั้น เอมมีปัญหาสุขภาพเล็กน้อย โดยส่วนตัว ทำให้เราทำงานต่อไม่ไหว แล้วเราไม่รู้จักใคร และพี่เคนมีศักยภาพที่จะทำในจุดๆ นี้ เราก็เลยตัดสินใจที่จะพาเค้าไปแนะนำให้พี่ปุ้ยรู้จัก ที่ต่อจากนี้จะเป็นคนส่งเรา และปรึกษาว่า มันโอเคไหม ซึ่งผู้ใหญ่ในกองก็เหมือนพ่อแม่ ถ้าเรามีปัญหา เราก็ต้องเข้าหาพ่อแม่ วันนั้น เราก็เข้าไป โดยที่ไม่ได้ปิดบังอะไรเลย เบอร์หนูก็ไม่เคยเอาลงแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งตอนนั้น พี่ปุ้ยไม่ได้พูดอะไร ก็รับทราบ และให้พักผ่อน เพราะตอนนั้น เพิ่งมาจากโรงพยาบาล พี่ปุ้ยไม่ได้บอกว่าผิดกฎกติกา มารู้อีกทีตอนที่โพสต์

กองพูดผ่านสื่อให้สละสิทธิ์?

บอกตรงๆ ว่าตกใจ เพราะวันนั้น เราไม่ได้คุยก่อน เราพูดในแง่สุขภาพ ขอแค่อย่างเดียวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราอยากเดินในวันประกวดรอบไฟนอล พร้อมกับเพื่อน 29 คน เพราะเราเริ่มมาพร้อมกัน (ร่ำไห้) สิ่งสำคัญไม่ใช่มงกุฎที่อยู่บนหัวของเอม แต่คือการที่เราได้เดินไปถึงเป้าหมาย และคือการแสดงคำขอบคุณต่อทุกคนที่ทำให้เอมมาถึงจุดนี้ เพราะเอมเดินไปพร้อมกับความรักของคนมากมายจริงๆ (เสียงสะอื้น น้ำตาลคลอ) ณ ตอนนั้น เราพูดกับเค้าก็เท่านี้ สละสิทธิ์หรือไม่เป็นเรื่องง่ายมาก เพราะเป็นการเขียนที่ไม่กี่คำเท่านั้นเอง แต่เอมไม่ต้องการสละสิทธิ์ที่ชอบธรรมของเอมออกไป โดยไม่ได้ชี้แจงอะไรเลย เพราะที่ผ่านมา เอมก็มีเรื่องที่อยากพูด และมันเกิดการฟังความข้างเดียวค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคนได้ฟังหมดแล้ว และขอบคุณกองที่ให้โอกาสเอมแถลงข่าว ขอให้กองเป็นผู้พิจารณาเรื่องการสละสิทธิ์ของเอมก็แล้วกัน”

ยืนยันไม่สละสิทธิ์?

“ค่ะ เพราะตอนนี้ เค้าได้รับทราบแล้วว่า มันเกิดอะไรขึ้น และที่สำคัญไม่ใช่แค่กอง เอมมาอยู่ตรงนี้ได้ ด้วยความรัก ความชอบของใครหลายๆ คน เพราะฉะนั้น เอมจะอยู่ตรงนี้ต่อได้ ไม่ใช่แค่กองหรือเอม แต่ประชาชนต้องรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้น และเรื่องบางเรื่อง ถ้าสังคมอยากตัดสิน เอมก็ขอให้เป็นการตัดสินของสังคม เพราะบางที เอมอยากให้คนในอนาคตมองย้อนกลับมา และเป็นผู้ตัดสินความชอบธรรมด้วยตัวเองดีกว่า”

สามารถเข้ากองไปเก็บตัว หรือทำกิจกรรมกับเพื่อนได้ไหม?

“ที่ผ่านมา เอมไม่ได้รับการติดต่อจากกองเรื่องของการทำกิจกรรม เอมไม่ทราบว่าเพื่อนไปไหน ไม่ทราบว่าเค้าทำอะไรกัน ไม่ได้อนุญาตให้เอมเข้าไปในกอง สิ่งที่ติดต่อทั้งหมด คือ เรื่องสละสิทธิ์เท่านั้น ซึ่งเอมพร้อมเข้าไปในกองและทำกิจกรรมเสมอ ส่วนเรื่องการสละสิทธิ์ขอให้เป็นวิจารณาณของผู้ใหญ่เป็นคนตัดสินใจ แต่ถ้าให้เอม พูดอะไรสักอย่าง เอมก็ขอไม่สละสิทธิ์ด้วยตัวเอง เพราะเป็นสิ่งสุดท้ายที่มันชอบธรรมกับเอมในตอนนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นคือความเข้าใจผิด ขอให้ทุกอย่างคลี่คลายลงหลังจากการสัมภาษณ์ครั้งนี้”

การประกวดรอบไฟนอลจะได้เดินไหม?

“อันนี้ต้องแล้วแต่ความกรุณาของกอง ว่าจะให้พื้นที่กับเอมไหม เพราะเอมไม่ต้องการผ่านเข้ารอบ ไม่ต้องการตอบคำถาม ที่สำคัญคือไม่เคยต้องการเป็นผู้ชนะอยู่แล้วตั้งแต่ต้น มองว่า การชนะที่แท้จริงในการประกวด คือ การต้องทำอะไรที่เราต้องการทำจริงๆ เพื่อสังคม และคือการทำเต็มที่ ถ้าเราได้เดินรอบไฟนอลคือการที่เราชนะไปแล้ว คือ จุดสิ้นสุดการเดินทางทั้งหมดของเอม”

มีคนบอกว่าเราโดนกลั่นแกล้งรู้สึกยังไง?

“เอมคิดว่าคนเรามีหลากหลายนิสัย มีหลายคนสื่อสารกัน ซึ่งบางทีข้อมูลที่ผิดพลาดเล็กน้อย เวลาที่คลาดเคลื่อนนิดเดียว อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดที่ใหญ่หลวงได้ เบื้องหลัง หลังจากเอมกลับไปแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นเอมไม่ทราบ แต่สิ่งที่มันระเบิดสู่สาธารณชนจนกระทั่งความเข้าใจผิดลุกลามใหญ่โต หรือเสริมความเข้าใจผิด มันก็คือโพสต์นั้น เสริมให้คนคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้น หรือเสริมข้อมูลที่อาจไม่ได้จริงทั้งหมด”

“วันนั้นถ้าเราไม่ตัดสินใจเดินเข้าไปบอกเขา เหตุการณ์นี้อาจจะไม่เกิด แต่เราไม่รู้ว่า เราจะไปต่อไหวไหม ที่สำคัญคือ ความซื่อสัตย์และจริงใจของเอม คือ เอมมีปัญหา และตัดสินใจเข้าไปหาและพาคนที่เอมคิดว่าจะช่วยแก้ปัญหาให้เอมได้เข้าไปด้วย”

ความสัมพันธ์เพื่อนๆ หลังเกิดกระแสดังกล่าว?

ไม่ได้เจอกันเลย ตั้งแต่วันกลับหัวหิน วันต่อมาเอมไปโรงพยาบาล หลังจากนั้นไม่เจออีกเลย เพื่อนๆ ยังพูดคุยอยู่ ยังเล่นโซเชียลร่วมกันอยู่ และเพื่อนให้กำลังใจที่เราหายไป และให้พักผ่อนเยอะๆ

เราโดนเตะตัดขาหรือเปล่า?

เอมตอบไม่ได้ ซึ่งเอมมีความเคารพเวทีนี้อย่างมาก เป็นที่ทำให้เอมพูดสิ่งที่อยากพูด ทำให้มีตัวตน ด้วยความคิด ทัศนคติ ไม่ใช่ด้วยรูปลักษณ์หรืออะไรเลย ใครก็ตามที่ได้มง เพื่อนคนไหน เอมยินดีด้วย ไม่ได้เล็งที่มงกุฎแค่อันเดียว ส่วนปีหน้ายังไม่แน่ใจว่าจะมาหรือเปล่า เพราะเจอเหตุการณ์นี้ไม่รู้ว่าจะไปยังไงต่อ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าจะเป็น someone หนูคิดว่าทำให้ดี และดีที่สุด กับการประกวดคิดว่า ขอจบที่เวทีนี้ในปีนี้ ในปีที่เอมเป็นตัวของเอมจริงๆ เอมไม่รู้ว่าปีหน้าเอมจะแบกความคาดหวัง หรือเอมจะรู้สึกอะไรไหม อยากแข่งขัน หรืออยากแก้ไข แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่เราทำ และอยากให้เป็นปีเดียว และเราใส่ไปหมดแล้วจริงๆ ทั้งความรู้ ความสามารถ ภูมิปัญญาทั้งหมดในชีวิตของเอม

มีคนบอกว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ หน้ากล้องอย่าง หลังกล้องอย่าง?

เอมอยากให้ถามเพื่อนๆ ของเอม เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งไม่มีพยาน แต่เชื่อว่าอย่างน้อยเราทำดีกับใคร เค้าจะมิตรภาพให้เรา ถ้าเราเคยทำอะไรก็ตามที่ทำให้คนในกองขุ่นข้องหมองใจ เอมต้องขอโทษทุกคนจากใจ ณ ที่ตรงนี้ (ยกมือไหว้)

ยืนยันไม่ได้คลานเข่าไปขอโทษ?

ใช่ค่ะ หนูไม่ได้ไปขอโทษค่ะ

การให้สัมภาษณ์สื่ออาจทำให้บางคนไม่ชอบหรือเปล่า?

ต้องยอมรับว่าการถูกใจชอบพอใคร มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล แล้วแต่ใจคนอื่นจะคิด เอมคิดว่า ตามการตีความของทุกคน บางคนอาจจะคิดว่า เอมไม่ได้เหมาะกับที่ตรงนี้ บางคนก็อาจจะคิดว่า เอมไม่ได้รับการสนับสนุน หรือเอมถูกกลั่นแกล้ง เพราะว่าเอมคิดว่ากองมีความชอบธรรม และเอมมีความคิดว่า ด้วยทัศนคติ และหลายๆ อย่าง เมื่อทำให้เรามาอยู่จุดนี้ได้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องปิดบัง และไม่ใช่สิ่งที่เราต้องละอายที่จะพูด เพราะทุกเรื่องที่เอมพูดออกมา เอมคิดอย่างนั้นจริงๆ เอมเห็นว่า ความกล้าที่จะพูดในสังคม เป็นเรื่องที่ต้องมีคนเริ่ม ทุกครั้งที่คุณจะทลายกำแพง คุณต้องทุบครั้งแรกเสมอ แม้ว่าคุณต้องทุบด้วยกำปั้นเปล่า คุณก็ต้องทำ ไม่งั้นก็คงไม่ทลายลงมา เพราะฉะนั้น ถ้าสิ่งที่เอมพูด บีบคั้นให้เอมอยู่ในสถานการณ์ที่มันไม่น่าพึงพอใจ เอมก็ขอบอกว่า เอมไม่เสียดาย และเอมไม่เคยเสียใจค่ะ

ต่อจากนี้คิดไว้ไหมว่า กองประกวดจะปล่อยลอยแพ จะทำอย่างไรต่อไป?

เบื้องต้น เอมไม่ได้อยู่ในไลน์ของผู้เข้าประกวดแล้ว ไม่ว่ากรุ๊ปใหญ่หรือย่อยก็ตาม ซึ่งถ้าเค้าให้โอกาสเอมได้กลับไป เอมก็พร้อมที่จะทำเต็มที่ แต่ถ้าเค้าเลือกที่จะยุติการประกวดของเอม เอมก็น้อมรับ และไม่มีอะไรจะแย้ง

สุดท้ายจะเคลียร์กันยังไง?

สุดท้ายก็คงจะต้องพูดคุยกัน แล้วถ้ามีเรื่องที่ให้อภัยกันได้ แม้เอมจะเป็นเด็ก แต่เอมก็เป็นฝ่ายตรงข้ามของเค้าเช่นกัน เพราะฉะนั้น เอมขอเป็นฝ่ายที่ไม่ถือสาหาความและขอโทษกองกับความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น การชกหน้าคนคนหนึ่ง แล้วเขาชกเรากลับ ก็เหมือนกับตีกันไปตีกันมาไม่มีที่สิ้นสุด การที่จะหยุดความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ มันต้องมีความฝ่ายหนึ่งที่ยอมให้อภัยเสมอ

ชื่อเสียงของเราที่เสียไปแล้ว?

หนูเริ่มต้นมาจากคนที่ไม่มีอะไรเลย วันพรุ่งนี้ หรือต่อให้หนูประกวดแล้วไม่ได้ตำแหน่ง วันรุ่งขึ้น หนูคือคนธรรมดา และมันก็คือชีวิตเดิมของหนูตลอด ไม่เกี่ยวกับหนูมีชื่อเสียงหรือหนูไม่มี

ชีวิตส่วนตัวของเอม มีหลายคนที่คอมเมนต์ด่าทอ และใช้คำพูดที่กระทบกระเทือนจิตใจต่อคนรอบข้างของเอม ถ้าความผิดมันอยู่ที่เอม ถ้าคิดว่า ไม่ถูกต้อง ก็อยากให้ลงกับเอมเสมอ แต่ไม่ใช่ลงกับคนรอบตัวที่เอมรัก

ส่วนครอบครัว เราไม่ค่อยได้คุยกับที่บ้าน เอมเป็นลูกหลง ตอนทำงานพ่อแม่ไม่ได้ดูแลตรงนี้ เอมเลี้ยงตัวเองมาตลอด ถ้าเป็นไปได้ ขอความเมตตาให้ตัวเอมเอง และขอให้คนรอบตัวของเอมที่เค้าไม่รู้เรื่องอะไร (ร้องไห้)

บอกแฟนคลับ?

ขอบคุณที่อยู่กับหนูมาตลอด อยากให้จดจำเอมในฐานะคนธรรมดาที่เคยมีโอกาสได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคน มันไม่ใช่ว่าเราจะไม่พิจารณาถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว แต่ถ้าเอมยังเดินหน้าต่อไปอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ว่าเอมจะปฏิเสธอดีต หรือปัจจุบัน แต่มันเป็นเพราะเราคิดว่า สิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ คือเราสรรค์สร้างสิ่งใหม่ๆ เพิ่มในอนาคต และเราทำสิ่งที่ดีต่อคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ ที่สำคัญคือ เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นเสมอ ไม่ว่าวันนี้ เราเป็นใครหรืออะไรก็ตาม ต่อจากนี้ไป แม้ว่าจะสิ้นสุดฐานะผู้เข้าประกวด แต่ในฐานะที่เอมเป็นพับลิคสปีกเกอร์ไปแล้ว ขอรับผิดชอบในส่วนนี้ด้วยการใช้เสียงของเอม ภูมิปัญญาของตัวเองให้เป็นประโยชน์กับทุกคน แม้ว่าน้ำหนักของโลกทั้งใบจะกดลงมาบนบ่าของเอม แต่เอมก็จะทำต่อไป แม้ว่าจะทรมานและก็หายใจไม่ออก เอมอยากจะสู้ทั้งที่รู้ว่าเอมไม่ได้อะไรเลย เพราะวันนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นมันส่งผลกระทบกับตัวเรามากเหลือเกิน หนูอยากจะสร้างตัวตนใหม่ของหนูขึ้นมาที่ทำเพื่อคนอื่นได้ และหนูคงไม่ต้องเจ็บปวดแบบนี้อีกแล้ว

พูดกับกองประกวด?

ขอบคุณกองที่ให้โอกาสเอมได้แถลงข่าวในวันนี้ เพราะถ้าไม่ได้คำตอบจากกอง เอมก็คงไม่กล้าที่จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เนื่องจากเราก็ไม่มีคู่สัญญาของเอ็มโอยูที่เราได้เซ็นอยู่กับตัว เพราะฉะนั้น เมื่อได้รับการยืนยัน เอมถือว่ากองได้ให้โอกาสและให้ความเป็นธรรมกับเอมแล้ว

ผจก.ผีผลัก แจง ‘ไม่ใช่ผู้จัดการ’ เฌอเอม ยันไม่ใช่ ‘มิจฉาชีพ’

ด้าน เคน สิทธิชัย เร็ววิโรจน์ ชี้แจงว่า เราเป็นผู้จัดการศิลปิน ในเรื่องที่เราเป็นมิจฉาชีพ มิจฉาชีพคือคนไม่มีงาน ก็ต้องหลอกเงินคนไปเรื่อยๆ แต่เรามีหน้าที่การงานที่ชัดเจน ในเรื่องต่างๆ นานา ก็จะบอกว่า เราไม่ได้เป็นพนักงาน เราเป็นฟรีแลนซ์ เราทำงานด้วยความเอื้ออาทรกันและกันตั้งแต่ปี 2019 ถ้าจะมาบอกว่า เราเป็นมิจฉาชีพ มันไม่แฟร์กับเรา เพราะเรามีหน้าที่การงานและมีแหล่งที่มาของรายได้ ไม่เคยเบียดเบียนเงินใคร และไม่เคยโกงเงินใคร

“หน้าที่ของผมเป็นผู้ดูแลสปอนเซอร์ชิป คำว่ามิจฉาชีพ เป็นคำในโพสต์ที่เขียนมาคือต้นเรื่อง มีการติดแฮชแทก #มิจฉาชีพ2020 และคำว่าผู้จัดการผีผลักที่เราใช้ เพราะก่อนที่เราจะมาเป็นผู้จัดการดารา เราสอนเต้น สอนออกกำลังกาย และทำงานร่วมกับดารา ดูแลฟิสเนส ในช่วงที่เค้าอยากหาผู้จัดการมาเสริมทัพ เค้าก็เลยเรียกเรามาช่วยดูแล เราก็เลยรู้สึกว่า ไปๆ มาๆ เหมือนผีผลักเราให้มาเป็นเลย เราก็เลยเรียกตัวเองว่า ผู้จัดการผีผลัก ซึ่งพอเราทำ เราทำได้ค่อนข้างดีในบทบาทในหน้าที่นี้”

เคน ผู้จัดการผีผลักกล่าวอีกว่า ในกองประกวด เข้าไปในฐานะฟรีแลนซ์ วันแถลงข่าวเราไม่ได้อยู่ทั้ง 2 รอบ หรือการเตรียมการต่างๆ นานา เราไม่รู้ว่าการประชุมเตรียมงานทั้งหมดมีกี่ครั้ง แต่เท่าที่จำได้เราไปแค่ 3 ครั้ง ซึ่งทั้ง 3 ครั้งที่ไปไม่เคยเอาข้อมูลมาบอกน้อง

“เราไม่ได้ดูแลน้อง เราเป็นคนดูคิวและขายงานให้น้อง ในสถานะนี้ เราไม่ได้แจ้งกอง และเราไม่ได้ต้องการปกปิด เพราะถ้าปกปิดจริงๆ ไม่ใส่เบอร์หรอก และไม่เดินไปหาให้เรื่องเป็นขนาดนี้ ถ้าจะปกปิดจริงๆ เรื่องวันนี้ไม่เกิดแน่นอน ไม่มีเจตนาที่จะปกปิดแน่นอน” เคนกล่าว

ทนายนิด้า ไม่มีเรื่องฟ้อง วอนเปิดใจให้เฌอเอม ตั้งใจปิดบังจริงหรือ 

ด้านทนายนิด้า กล่าวว่า จริงๆ เรียกว่าเป็นที่ปรึกษากฎหมายได้ ณ เวลานี้ที่มีทนายความมานั่งอยู่ด้วย น้องเดินมาปรึกษา เรื่องเกิดมาวันที่ 25 กันยายน จริงๆ น้องไม่กล้าออกมาแถลงข่าว และไม่รู้ว่าสามารถทำได้แค่ไหนอย่างไร และไม่ให้เกิดผลกระทบกับฝ่ายหนึ่ง ซึ่งวันนี้ จำเป็นออกมาพูด เพื่อปกป้องส่วนได้เสียของตัวเรา

“นิด้า ได้เข้ามาให้คำปรึกษาน้อง เท่าที่ดูทั้งหมด พี่เคนไม่ได้เซ็นสัญญา ไม่ว่าจะฝ่ายไหน อย่างกองประกวดมีหลายฝ่าย พี่เคนไม่ได้เซ็นสัญญา กติกาอะไร เป็นอย่างไร ไม่เคยแสดงชี้แจง และไม่ให้รับทราบ ในทางกฎหมาย ถ้าทำงานเป็นมืออาชีพ ต้องมีลายลักษณ์อักษรที่มายืนยันได้ เมื่อตรงนี้เป็นฟรีแลนซ์ ไม่ได้ร่วมประชุม จึงอยากขอให้มาพูดว่า ในการประชุมมีความลับอะไร ที่น้องได้รับประโยชน์ อยากให้ออกมาชี้แจง อีกประเด็น เมื่อข้อเท็จจริงไม่ชัดเจน คลุมเครือว่าใครสถานะอะไร การกล่าวว่า เป็นมิจฉาชีพ 2020 กังวลกับคำนี้ เพราะถ้าพูดภาษาชาวบ้านคือ โจร”

” เรื่องผิดสัญญาในทางแพ่ง ไม่ใช่เรื่องทำผิดอาญา จนไปถึงเรื่องเป็นโจร เรื่องฟ้องร้อง แม้แต่เป็นทนายความ ไม่ได้ประสงค์อยากยุยงให้ใครเป็นความ เบื้องต้นคุยให้เกิดความเข้าใจก่อน แต่ในวันนี้ ทั้งเคน และเฌอเอม และนิด้า อยากออกมาขอให้แก้ไขส่วนตรงนี้ การกระทำดังกล่าวแม้เป็นเรื่องผิด หรือไม่ดี แต่ไม่ใช่ความเป็นมิจฉาชีพ ไม่อยากคุยกันว่าฟ้องร้อง ยอมรับได้ในคำวิจารณ์ แต่ถ้าเลยเถิดไปมาก ถึงวันนั้น เราไม่รู้ว่า เราตัดสินใจอะไร เราไม่ได้ตัดสินใจแบบนั้น ไม่ใช่แอะอะควงทนาย หรือเอากฎหมายมาขู่”

“เรื่องการสละสิทธิ์ น้องรู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องการปิดบังจริงๆ คิดว่ามาตกม้าตายด้วยเรื่องนี้จริงๆ ส่วนนี้อยากให้ความเป็นธรรมกับน้อง สติปัญญาแบบนี้ ถ้าตั้งใจปิดบังจริงๆ ไม่มาตั้งโต๊ะแถลงข่าวอย่างนี้แน่นอน ณ ตอนนี้ยังไม่ทำอะไร นับจากนี้ คงต้องคุยกับไปว่า สถานการณ์ดีขี้นหรือแย่ลง”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image