3 สัญญาณ ‘เด็กถูกทำร้าย’ อย่าวางใจ ‘บาดแผล’ จากโรงเรียน
จากเหตุการณ์ครูมีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงกับเด็กอนุบาล พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หรือ หมอโอ๋ กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และแอดมินเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” เผยว่า ปัจจุบันยังมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นในหลายโรงเรียน ซึ่งหมอจะมีพ่อแม่ผู้ปกครองส่งภาพร่องรอยตามร่างกายมาสอบถาม แต่กลับไม่กล้าถามครูว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะกลัวถูกมองว่าผู้ปกครองเรื่องมาก และกลัวส่งผลกระทบกับลูก จนสุดท้ายมองข้ามไป
“หากเด็กเกิดร่องรอยบาดแผลที่เราไม่แน่ใจ อย่าคิดว่าไม่เป็นอะไรหรอก แต่ควรหาคำตอบ อย่างน้อยๆ ผู้ที่กระทำจะได้รู้ว่าเราไม่ยอม” หมอโอ๋กล่าว และย้ำว่า “อย่าเกรงใจใครมากกว่าลูกเรา”
หมอโอ๋แนะนำพ่อแม่คอยสังเกตพฤติกรรมของเด็ก คอยเปิดพื้นที่การพูดคุย เพื่อจะดูว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์อะไร ถูกทำร้ายมาหรือเปล่า ซึ่งมี 3 สัญญาณที่เด็กจะแสดงออกเมื่ออยู่ในสถานการณ์ไม่ปลอดภัย คือ
1.สู้ เด็กบางคนจะสู้กลับความรุนแรงที่เขาได้รับ เช่น ตีมาตีกลับ โดยเด็กจะส่งสัญญาณถึงความโกรธ อารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว
2.หนี เด็กบางคนจะแสดงอาการไม่อยากไปโรงเรียน กอดขา ร้องไห้
3.ยอม แน่นอนยอมถูกตีเพื่อความอยู่รอด ย่อมส่งผลให้เด็กรู้สึกแย่ ตั้งแต่นับถือตัวเองต่ำ สังเกตได้จากอาการซึม เงียบ แยกตัว เหม่อลอย ไม่มีความสุข อย่างไรก็ตาม กับความเชื่อว่าตีเด็กแล้วจะได้ดี ลึกๆ แล้วทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้แพ้ เติบโตมาเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า นำไปสู่โรคซึมเศร้าซึ่งกำลังเกิดในวัยรุ่นถึงร้อยละ 15-20
“นอกจากการสังเกต ก็อยากให้พ่อแม่ชวนลูกพูดคุยเรื่องราวในชีวิตเขา เป็นผู้รับฟังอย่างเข้าใจจริงๆ จากเคยถามแค่ว่า วันนี้กินข้าวอะไรที่โรงเรียน เปลี่ยนเป็นวันนี้ไปโรงเรียนมีความสุขไหม ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร วันนี้ใครใจดีกับหนู ใครใจร้ายกับหนู ซึ่งลูกอาจบอกว่าโดนครูตี พ่อแม่ก็อย่าเพิ่งไปตัดสินว่าเพราะลูกดื้อเอง แต่ให้สอบถามเหตุผลว่าทำไมถึงถูกตี เพื่อจะช่วยหาทางแก้ไข คราวหน้าจะได้ไม่ถูกตี”
หมอโอ๋อยากให้พ่อแม่ปลูกฝังเด็กเรื่องสิทธิเนื้อตัวร่างกายใครจะมาละเมิดไม่ได้ และต้องแสดงออกถึงการไม่ยอม เมื่อเติบโตไปเขาจะได้ไม่ยอมเมื่อแฟนจะมาละเมิด ครูก็เช่นเดียวกัน
พ่อแม่ต้องใส่ใจ
