สุดทน ‘หมา-แมว’ ข้างบ้านสร้างความเดือดร้อน เปิดขั้นตอนร้องเรียนให้ จนท.จัดการ
เพราะ “หมา-แมว” ไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน หลายครั้งสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ไม่ว่าจะแมวข้างบ้านปีนเข้ามาฉี่ เข้ามาอึในบ้านเรา นานวันเข้าออกลูกออกหลานวิ่งให้เต็มซอยบ้าน
หรือฝั่งมา หลายคนก็เจอหมาข้างบ้านคาบเอารองเท้าเราไปกัด มีนิสัยดุร้ายเดินพล่านทั่วซอย จนเราไม่กล้าเดิน กระทั่งเห่าเสียงดังยามค่ำคืน
บอกเจ้าของให้ทราบแล้ว ย้ำแล้วย้ำอีก สุดท้ายก็เหมือนเดิม แต่อย่าเพิ่งขายบ้านหนี อาจจบด้วยวิธีนี้ได้ คือ “การร้องเรียนเหตุเดือดร้อนรำคาญจากสัตว์”
ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของราชการประจำท้องถิ่น ที่สามารถดำเนินการควบคุมปัญหาด้านการสาธารณสุขสิ่งแวดล้อม ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยอาศัยอำนาจตามบทบบัญญัติแห่งกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535
ลักษณะของเหตุรำคาญ
โดยระบุลักษณะของเหตุรำคาญ ตามบทบัญญัติมาตรา 25 กำหนดว่า “ในกรณีที่มีเหตุอันอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อน แก่ผู้อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง หรือผู้ต้องประสบกับเหตุนั้น” แยกเป็นเหตุรำคาญในส่วนสัตว์เลี้ยงทุกชนิด ดังนี้
“การเลี้ยงสัตว์ในที่ หรือวิธีใด หรือมีจำนวนเกินสมควร จนเป็นเหตุให้เสื่อม หรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ”
1.สถานที่เลี้ยงไม่เหมาะสม สกปรก มีกลิ่นเหม็น เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของสัตว์พาหะนำโรค เป็นต้น
2.วิธีการเลี้ยงรบกวนความเป็นอยู่ของผู้อาศัยข้างเคียง เช่น ปล่อยให้สัตว์ไปกินพืชผักของคนข้างบ้าน หรือปล่อยให้ไปถ่ายที่บ้านข้างเคียง เป็นต้น
3.เลี้ยงจำนวนมากเกินไป เช่นสถานที่เลี้ยงคับแคบ อยู่ใกล้บ้านข้างเคียงแต่เลี้ยงจำนวนมาก จนเกิดเสียงร้องดัง มีกลิ่นสาบ หรือกลิ่นมูลเหม็น เป็นต้น
ขั้นตอนการร้องเรียน
หากประสบปัญหาจากสัตว์เลี้ยงข้างต้น สามารถร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ ตามพ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 มีขั้นตอน ดังนี้
– เมื่อมีกรณีเหตุรำคาญเกิดขึ้น ประชาชนที่อยู่ข้างเคียงที่ประสบเหตุ หรือผู้ที่ไปประสบพบเห็น มีสิทธิที่จะร้องเรียนต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือเจ้าพนักงานสาธารณสุขทุกระดับ หรือหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น หรือราชการส่วนภูมิภาคที่เกี่ยวข้องได้
– เจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือเจ้าพนักงานสาธารณสุขของหน่วยงาน ที่ได้รับการร้องเรียน ต้องดำเนินการตรวจสอบกรณีเหตุร้องเรียนนั้น ซึ่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นมักขอให้ เจ้าพนักงานสาธารณสุขเป็นผู้ตรวจสอบ ซึ่งการตรวจสอบต้องพิจารณาว่า เป็นเหตุรำคาญหรือไม่?
– ถ้าไม่เหตุรำคาญ เจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือเจ้าพนักงานสาธารณสุขต้องแจ้งให้ผู้ร้องทราบ (ถ้าผู้ร้องแจ้งที่อยู่ให้ทราบ) แล้วแต่กรณี เรื่องร้องเรียนนี้ถือเป็นอันยุติ
– แต่ถ้าเป็นเหตุรำคาญ ต้องพิจารณาว่า เหตุรำคาญนั้น เกิดขึ้นในที่ หรือทางสาธารณะ หรือเกิดขึ้นในสถานที่เอกชน และเกิดขึ้นเขตท้องถิ่นใด แล้วดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
– เมื่อเจ้าพนักงานสาธารณสุขตรวจสอบพบว่า เป็นเหตุรำคาญ เจ้าพนักงานสาธารณสุขมีหน้าที่ ต้องเสนอให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นที่มีอำนาจในเขตท้องถิ่นนั้น ออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ที่ก่อเหตุนั้น (กรณีที่เกิดในที่ หรือทางสาธารณะ) หรือให้เจ้าของ หรือผู้ครอบครองสถานที่เอกชน (กรณีที่เกิดในสถานที่เอกชน) เพื่อให้ปรับปรุงแก้ไข หรือระงับเหตุรำคาญนั้น พร้อมต้องกำหนดระยะเวลา ที่ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น ตามความเหมาะสมด้วย
– กรณีที่คำสั่งใด ที่ผู้รับคำสั่งมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ กฎหมายว่าด้วย วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง กำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น ต้องแจ้งสิทธิ และระยะเวลาที่จะอุทธรณ์ได้ ต่อบุคคลใดไว้ด้วย ในกรณีของเหตุรำคาญ ซึ่งกฎหมายสาธารณสุข กำหนดให้ผู้รับคำสั่งมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่ง ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งนั้น
– เมื่อครบกำหนดเวลาที่ให้ไว้ในคำสั่งนั้น เจ้าพนักงานสาธารณสุขต้องไปตรวจสอบว่า มีการปรับปรุงแก้ไข หรือไม่อย่างไร กรณีที่ไม่มีการแก้ไข โดยเหตุผลอันสมควร ก็เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานฯ ที่จะผ่อนผันระยะเวลาตามข้อเท็จจริงได้ ตามความเหมาะสม แต่หากเป็นกรณีที่ผู้รับคำสั่งไม่ใส่ใจ หรือไม่นำพาต่อคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น เจ้าพนักงานท้องถิ่นก็อาจดำเนินการได้ 2 กรณี คือ
1.กรณีที่เหตุรำคาญนั้นเกิดในที่ หรือทางสาธารณะ เจ้าพนักงานท้องถิ่น และเจ้าพนักงานสาธารณสุขต้องพิจารณาว่า เหตุรำคาญนั้นยังคงเกิดขึ้น และก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรง ต่อสุขภาพหรือไม่?
– ถ้าไม่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรง ก็ให้ดำเนินการลงโทษผู้ก่อให้เกิดเหตุรำคาญนั้น โดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นอาจดำเนินการเปรียบเทียบปรับ หรือดำเนินคดีทางศาล แล้วแต่กรณี ตามอำนาจในมาตรา 85 วรรค 3
– ถ้าเป็นอันตรายอย่างร้ายแรง ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น ร่วมกับเจ้าพนักงานสาธารรสุข ดำเนินการปรับปรุงแก้ไข เพื่อมิให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนต่อไป แล้วคิดค่าใช้จ่ายทั้งหมด จากผู้ที่ก่อเหตุรำคาญนั้น แล้วให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นดำเนินการ เปรียบเทียบปรับ หรือดำเนินคดีทางศาล แล้วแต่กรณี ตามอำนาจในมาตรา 85 วรรค 3 และหากผู้ที่ก่อเหตุไม่ยินยอมเสียค่าใช้จ่ายดังกล่าว เจ้าพนักงานท้องถิ่น ก็สามารถฟ้องเรียกค่าใช้จ่ายทางศาลได้ด้วย
2.กรณีที่เหตุรำคาญนั้นเกิดในสถานที่เอกชน เจ้าพนักงานท้องถิ่น และเจ้าพนักงานสาธารณสุข ต้องพิจารณาว่า เหตุรำคาญนั้นยังคงเกิดขึ้น และก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรง ต่อสุขภาพหรือไม่?
– หากเหตุรำคาญยังคงเกิดขึ้น แต่ไม่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรง เจ้าพนักงานท้องถิ่น และเจ้าพนักงานสาธารณสุข อาจร่วมกันดำเนินการแก้ไขในสถานที่เอกชนนั้นได้ โดยคิดค่าใช้จ่ายจากเจ้าของ หรือผู้ครอบครองสถานที่นั้น แล้วให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นดำเนินการลงโทษ โดยการเปรียบเทียบปรับ หรือดำเนินคดีทางศาล แล้วแต่กรณี ตามอำนาจในมาตรา 85 วรรค 3 และหากผู้ที่ก่อเหตุ ไม่ยินยอมเสียค่าใช้จ่ายดังกล่าว เจ้าพนักงานท้องถิ่นก็สามารถห้องเรียก ค่าใช้จ่ายทางศาลได้ด้วย
– หากเหตุรำคาญยังคงเกิดขึ้น และเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพด้วย นอกจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นจะดำเนินการลงโทษ โดยการเปรียบเทียบปรับ หรือดำเนินคดีทางศาล แล้วแต่กรณี ตามอำนาจในมาตรา 85 วรรค 3 ต่อเจ้าของ หรือผู้ครอบครองสถานที่เอกชนนั้นแล้ว เจ้าพนักงานสาธารณสุข อาจเสนอให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น ออกคำสั่งเป็นหนังสือ ห้ามมิให้ใช้ หรือยินยอมให้บุคคลใด ใช้สถานที่นั้นทั้งหมด หรือบางส่วน จนกว่าจะได้มีการระงับเหตุรำคาญนั้นแล้วก็ได้ ซึ่งกรณีนี้ก็จะมีผลคล้ายกับ การสั่งให้หยุดดำเนินกิจการนั่นเอง
โทษความผิดของผู้ก่อเหตุรำคาญ
ความผิดของเรื่องนี้ เน้นไปที่การขัดคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น เมื่อพบว่า บุคคลใดได้ก่อเหตุรำคาญขึ้น เจ้าพนักงานท้องถิ่นก็จะออกคำสั่ง ให้ปรับปรุงแก้ไข หรือระงับเหตุรำคาญนั้น หากไม่ปรับปรุงแก้ไข โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จึงจะมีโทษความผิด ตามมาตรา 74 กล่าวคือ มีความผิดฐานขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น โดยไม่มีเหตุ หรือข้อแก้ตัวอันสมควร ก็จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
รวมทั้งกรณีที่ขัดคำสั่ง ห้ามมิให้ใช้ หรือยินยอมให้ใช้สถานที่เอกชน ที่เกิดเหตุรำคาญ ที่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพ ก็มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำนักงานเขตฯ ออกประกาศสัตว์เลี้ยง
ในเขตเมืองเป็นพื้นที่ประสบปัญหาสัตว์เลี้ยงก่อความรำคาญมากที่สุด หลายเขตในกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเป็นจำนวนมาก จึงออกประกาศขอความร่วมมือเจ้าของสัตว์เลี้ยงปฏิบัติ ดังนี้
1.ต้องเลี้ยงสัตว์ภายในบริเวณบ้าน โดยจัดสถานที่เลี้ยงสัตว์ตามความเหมาะสมตามจำนวนสัตว์เลี้ยง
2.รักษาสถานที่เลี้ยงสัตว์ให้สะอาดอยู่เสมอจัดเก็บสิ่งปฏิกูลให้ถูกสุขลักษณะไม่ปล่อยให้เกิดการสะสมจนเกิดกลิ่นเหม็นรบกวนผู้ที่อาศัยใกล้เคียง
3.ต้องระมัดระวังและรับผิดชอบมลภาวะเสียง และกลิ่นที่เกิดจากการเลี้ยงสัตว์ที่เป็นเหตุรบกวนหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
4.ต้องจัดให้มีการสร้างภูมิคุ้มกันโรคในสัตว์เลี้ยงเพื่อป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคที่เกิดจากสัตว์มาสู่คน
5.การนำสุนัขออกนอกสถานที่เลี้ยงต้องผูกสายจูงสุนัขที่แข็งแรง และจับสายลากจูงตลอดเวลา ในกรณีเป็นสุนัขควบคุมพิเศษต้องใส่อุปกรณ์ครอบปาก และจับสายลากจูงห่างจากสุนัขไม่เกิน 50 เซนติเมตร
และ 6.ต้องกำจัดสิ่งปฏิกูลอันเกิดจากสัตว์เลี้ยงในสาธารณะโดยทันที
ทั้งนี้ เพราะการเลี้ยงสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์ในบ้านพัก หรือสถานที่ใดๆ ก็ตาม หากเกิดการเห่า หอน เสียงดัง ถ่ายมูลเรี่ยราด ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนแก่ผู้อาศัยใกล้เคียง ถือเป็นเหตุเดือดร้อนรำคาญตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 และพ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ พ.ศ.2535
อย่างไรก็ตาม เรื่องสัตว์เลี้ยงสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ยังไปไกลถึงการฟ้องร้องในชั้นศาล อย่างล่าสุดมีกรณีแมวเพื่อนบ้านเข้ามาสร้างความเสียหายแก่รถยนต์หรูในบ้านหลังหนึ่ง มีภาพจากกล้องวงจรปิดยืนยันแมวนอนบนหลังคารถยนต์จริง นำไปฟ้องร้องศาลขอเรียกเงินค่าเสียหายหลายหมื่นบาท
เพราะการเลี้ยงสัตว์ รักอย่างเดียวไม่พอ
ข้อมูลจาก ประกาศสำนักงานเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร , สำนักที่ปรึกษา กรมอนามัย, สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนนทบุรี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง แมวหลุดจากบ้าน ไต่รถหรู-เจอเรียกค่าเสียหายหลักแสน เรื่องไม่จบ-สู้ถึงศาล