มองสังคมสูงวัยไทยอีก 20 ปีข้างหน้า “ลูกหลานน้อย-อยู่โดดเดี่ยว-ไม่มีเงิน”
“สังคมสูงวัย” ใกล้ตัวคนไทยเข้าไปทุกที อย่างเร็วๆ นี้คนไทยก็เพิ่งตระหนกกับข่าว อัตราเด็กไทยเกิดต่ำกว่า 5 แสนคน ขณะเดียวกันมีผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ
เป็นปรากฏการณ์ที่มีคำอธิบายในงานเสวนาออนไลน์ “อนาคตสังคมผู้สูงอายุไทย ก้าวไปอย่างไรบนความท้าทาย?” จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) และภาคีเครือข่าย ในเพจเฟซบุ๊กสูงวัย
ศ.วรเวศม์ สุวรรณระดา คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวบรรยายตอนหนึ่งว่า จากรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย ปี 2563 จัดทำโดย มส.ผส. พบจำนวนผู้สูงอายุ 12 ล้านคน หรือมีผู้สูงอายุร้อยละ 18 ของสัดส่วนประชากรทั้งประเทศ แต่ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ (Aged Society) หรือมีผู้สูงอายุร้อยละ 20 ของสัดส่วนประชากรทั้งประเทศ
ทั้งนี้ ข้อมูลในปี 2563 ยังพบคาแรกเตอร์ผู้สูงอายุที่น่าสนใจ อาทิ การศึกษาไม่สูงนัก ส่วนใหญ่จบระดับประถมศึกษาและต่ำกว่า แม้ปัจจุบันจะสมรสและรับการเกื้อหนุนจากบุตรเป็นส่วนใหญ่ แต่พบผู้สูงอายุอยู่โดดเดี่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกือบครึ่งมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ส่วน 1 ใน 4 ของผู้สูงอายุก็ไม่มีเงินออม และยังมีปัญหาเรื่องสภาพแวดล้อมภายในบ้านไม่เอื้อต่อการใช้ชีวิตบั่นปลาย
“เมื่อมองสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยในอีก 20 ปีข้างหน้า จะมีความชัดเจนว่ากลุ่มประชากรรุ่นเกิดล้านเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างรวดเร็ว จนคาดว่าจะมีประชากรสูงอายุถึง 20.51 ล้านคน แม้จะเป็นผู้สูงอายุที่มีระดับการศึกษาสูงขึ้น แต่ก็มีแนวโน้มจะเป็นผู้สูงอายุที่ครองโสดถาวร ไม่มีบุตร มีบุตรน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ และหากสถานการณ์ยังเป็นอย่างในปัจจุบัน ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่มีหลักประกันทางการเงินตอนชราภาพ อนาคจะมีความท้าทายและน่ากลัวมากขึ้น”


ศ.วรเวศม์ยังชวนจับตาเป็นพิเศษกับผู้สูงอายุ 7 กล่ม ได้แก่ กลุ่มที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงจากการทุพพลภาพ และสมองเสื่อม กลุ่มที่ถูกทอดทิ้ง กลุ่มไร้บ้าน กลุ่มยากจน กลุ่มไร้สิทธิและสถานะบุคคล กลุ่มย้ายถิ่นกลับ และกลุ่มหลากหลายทางเพศ จะมีจำนวนมากขึ้นตามจำนวนผู้สูงอายุ จะทำให้การแก้ปัญหาในอนาคตยุ่งเหยิงขึ้น ฉะนั้นต้องเตรียมพร้อมและขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม ตั้งแต่แผนผู้สูงอายุที่ปัจจุบันมีมากมายในหลายหน่วยงาน อาจมีมุมมองเรื่องผู้สูงอายุไม่เหมือนกัน ทำให้การขับเคลื่อนกระจัดกระจาย ต้องปรับให้ชัดเจน
ส่วนแผนการที่มีอยู่แล้ว จะต้องขับเคลื่อนให้เกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม มีการประเมินและติดตามผล ที่สำคัญคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ควรกำหนดเป้าหมายเชิงนโยบายให้ชัดเจน ว่าต้องการให้ผู้สูงอายุไทยมีหลักประกันที่มั่นคงในลักษณะไหน ไม่ว่าจะหลักประกันการทำงาน หลักประกันระบบบำนาญ เพื่อรองรับเทรนด์ผู้สูงอายุในอนาคต ที่อยู่เป็นโสด ไม่มีลูกหลานที่จะมีจำนวนมากขึ้น ให้มีหลักประกันที่มั่นคงทางรายได้ต่อไป
ภายในงานยังมีข้อเสนอน่าสนใจ อาทิ รศ.อาชนัน เกาะไพบูลย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอให้มีระบบบำนาญที่คล่องตัวและสอดคล้องกับคนแต่ละกลุ่ม ยกตัวอย่างการออมให้ผลตอบแทน การออมเพื่อสามารถนำเงินไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉินได้ การออมที่หยิดหยุ่นตามรายได้ จะช่วยกระตุ้นให้คนอยากออมมากขึ้น ส่วนนายกฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและคุณภาพชีวิต กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เสนอว่าหน่วยงานควรกระจายอำนาจการดูแลผู้สูงอายุให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้มีหน้าที่ชัดเจนตามกฎหมาย ในการขับเคลื่อนงานดูแลคุณภาพชีวิตให้ผู้สูงอายุในพื้นที่ และต้องทำเรื่องนี้ให้ติดกับกลไก ที่ไม่ว่าเปลี่ยนผู้บริหารท้องถิ่นจากการเลือกตั้งทุก 4 ปี ก็ไม่กระทบงานผู้สูงอายุ
