สัมผัสเรื่องเล่าผ่านลวดลาย 6 ผ้าบาติกทรงสะสม ในรัชกาลที่ 5 ที่หาชมยาก

สัมผัสเรื่องเล่าผ่านลวดลาย 6 ผ้าบาติกทรงสะสม ในรัชกาลที่ 5 ที่หาชมยาก

ภายใต้ความงดงามของลวดลายอันวิจิตรบรรจงบนผืนผ้าบาติก ที่จัดแสดงอย่างเรียบง่าย ณ พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในพระบรมมหาราชวัง เต็มไปด้วยเรื่องเล่าแห่งศรัทธาและความเชื่อของผู้คนหลายเชื้อชาติ เชื่อกันว่า ‘ผ้าบาติก’ หรือ ‘ผ้าปาเต๊ะ’ มีถิ่นกำเนิดจากอินโดนีเซีย

โดยช่างฝีมือจะถ่ายทอดเทคนิคในการสร้างสรรค์ลวดลาย และการลงสีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งยังได้รับอิทธิพลในการสร้างสรรค์ลวดลายจากวัฒนธรรมต่างๆ อาทิ เปอร์เซีย อินเดีย จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ จึงไม่ผิดหากกล่าวว่า ‘ผ้าบาติก’ เป็นผ้าที่มีประวัติศาสตร์ร่วมในหลายวัฒนธรรมมานานนับร้อยปี

ทว่าน้อยคนนักจะรู้ว่า ภายในพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ได้จัดแสดงผ้าบาติกหาชมยาก ผ้าบาติกจากช่างฝีมือชื่อดังในประวัติศาสตร์ และผ้าบาติกที่มีเพียงผืนเดียวในโลก ที่ทำให้ผู้หลงใหลในศิลปวัฒนธรรมจากหลายประเทศแวะเวียนมาเยี่ยมชมนิทรรศการ ผ้าบาติกในพระปิยะมหาราช: สายสัมพันธ์สยามและชวา อยู่เสมอ ผ้าบาติกอายุนับร้อยปีกว่า 300 ผืน เป็นของทรงสะสมและมีผู้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี มีการให้หมายเลขกำกับ และบันทึกข้อมูลรายละเอียดแนบไว้ทุกผืน

Advertisement

พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ชวนทุกท่านสัมผัสเรื่องเล่าผ่านลวดลายของผ้าบาติกหาชมยากถึง 6 ผืน ถ่ายทอดด้วยถ้อยภาษาอันละมุนโดย ศาสตรัตน์ มัดดิน หรือ ‘ราฟ’ ภัณฑารักษ์ประจำนิทรรศการ ที่ควรหาโอกาสไปชมสักครั้งในชีวิต

ลายบูเกตัน

1. ผ้าบาติกจากโรงเขียนผ้าของนาง เอ. เจ. เอฟ. ยานส์ เมืองเปอกาลองงัน : ด้วยเป็นชาวตะวันตกที่มาตั้งรกรากและโรงเขียนผ้าบนเกาะชวา ลวดลายที่ถ่ายทอดบนผืนผ้าจึงได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะที่ได้รับความนิยมแพร่หลายในยุโรป ณ ช่วงเวลานั้น อาทิ ริบบิ้น นก ดอกไม้ บูเกต์ หรือ ‘บูเกตัน’ และเป็นศิลปินผ้าบาติกคนแรกๆ ที่ลงลายเซ็นบนผืนผ้าโดยใช้ชื่อย่อว่า ‘J. Jans’ บริเวณด้านบนของหัวผ้า

โดยเฉพาะลายดอกไม้ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโรงเขียนผ้าแห่งนี้ อันเกิดจากการผสมผสานศิลปะช่วงปลายยุควิกตอเรียนกับศิลปะอาร์ตนูโวบริเวณหัวผ้า ส่วนท้องผ้าเป็นลายช่อดอกไม้สลับกับนกคู่ มีดอกมะลิรายรอบบนพื้นหลังของผ้า เอกลักษณ์อันโดดเด่นของโรงเขียนผ้าแห่งนี้อยู่ที่การลงสีพาสเทล เช่น สีฟ้า สีชมพู สีเหลือง เป็นต้น มาสร้างสรรค์ลวดลายให้มีความอ่อนช้อยและงดงามมากขึ้น

ปัง-บิรู-อูงัน

2. ผ้าบาติก ‘ปัง บิรู อูงัน’ เมืองลาเซ็ม: ผ้านุ่ง (โสร่ง) แบบปัง บิรู อูงัน มาจากโรงเขียนผ้าของพ่อค้าชาวจีน ลวดลายบนผ้าบาติกจึงสะท้อนความเชื่อของชาวจีนผ่านสัตว์มงคลต่าง ๆ เช่น ‘ปลาคาร์ปกระโดดข้ามประตูมังกร’ สื่อถึงความมานะ อดทน ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของการเอาชนะอุปสรรคในการสอบเข้ารับราชการ นอกจากนี้ ยังมีลวดลายของกิเลน ผีเสื้อ ไก่ฟ้า นกฟีนิกซ์คู่ ฯลฯ ร่วมกับการใช้สีมงคลของชาวจีนอย่างสีแดง รวมถึงการนำสีมาใช้ตั้งชื่อลาย เช่น ปัง (สีแดง) บิรู (สีน้ำเงิน) อูงัน (สีม่วง) โซกะ (น้ำตาล) อีโจ (สีเขียว) เป็นต้น

ราฟกล่าวเสริมว่า “ผ้าบาติกชวานิยมใช้ประมาณ 5-6 สี ส่วนสีเขียวจะพบเห็นได้น้อยมาก นอกจากโรงเขียนแห่งหนึ่งในเมืองเซมารัง โดยแต่ละเมืองจะสร้างสรรค์ลวดลายของผ้าบาติกที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนกัน ส่วนเปอกาลองงันและลาเซ็มเป็นสองเมืองที่รัชกาลที่ 5 ไม่ได้เสด็จฯ เยือน เนื่องจากสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา (พระราชโอรส) ทรงประชวรระหว่างเสด็จฯ เยือนชวา (พ.ศ.2444) พ่อค้าจึงนำผ้าจากสองเมืองนี้มาให้ทอดพระเนตร ณ โรงแรมที่ประทับ อันเป็นที่มาของผ้าบาติกที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ครั้งนี้”

ปารัง รือสัก บารอง

3. ผ้าบาติกลาย ‘ปารัง รือสัก บารอง’ โรงเขียนผ้าของนางแวน ลาวิก แวน แพบสต์ เมืองยอกยาการ์ตา: หนึ่งในโรงเขียนผ้าบาติกที่มีชื่อเสียงระดับโลก ด้วยเป็นโรงเขียนผ้าของชาวฮอลันดา เชื้อสายจีน ลวดลายส่วนใหญ่จึงได้แรงบันดาลใจจากศิลปะตกวันตก ยกเว้นลาย ‘ปารัง รือสัก’ ที่จัดอยู่ในกลุ่มลายชั้นสูงสวมใส่ได้เฉพาะพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางชั้นสูง

ถือเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรูปทรงของกริช มักทำเป็นลักษณะแนวทแยง แต่ละแถวแทรกด้วยลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนขนาดเล็กเรียกว่า ‘มิลิยง’ และเป็นลวดลายเดียวกับที่สุลต่านถวายให้แก่รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จฯ เยือนชวา ลายปารังเป็นที่นิยมอย่างมากในชวากลางโดยเฉพาะเมืองยอกยาการ์ตาและสุราการ์ตา

ลายฮุก

4. ผ้าบาติก ‘ลายฮุก’ โรงเขียนผ้าของนางแวน ลาวิก แวน แพบสต์ เมืองยอกยาการ์ตา: อีกหนึ่งลวดลายที่สงวนไว้ใช้เฉพาะพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางชั้นสูง ‘ลายฮุก’ มีลักษณะเป็นวงกลม มีนกอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยเปลือกหอย 4 ด้าน โดยวงกลมเปรียบเสมือนไข่ สื่อถึงจุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต ขณะที่เปลือกหอยตามความเชื่อของชาวฮินดูถือเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ ส่วนความเชื่อของชวาหมายถึง ความร่ำรวยและมั่งคั่ง

ราฟเล่าว่า “โรงเขียนผ้าแห่งนี้รัชกาลที่ 5 เสด็จฯ เยือนถึงสองครั้งในปี พ.ศ. 2439 และ พ.ศ. 2444 ทรงพบกับนางแวนและบุตรสาวคนโต (ซึ่งมีชื่อเดียวกัน) ทรงบรรยายถึงเนื้อผ้าและขั้นตอนการทำผ้าบาติกของโรงเขียนแห่งนี้ไว้อย่างละเอียด และทรงชื่นชมว่าเป็นผ้าบาติกเนื้อดีนำเข้าจากยุโรป สันนิษฐานว่าผ้าบาติกของโรงเขียนแห่งนี้น่าจะมีชื่อเสียงอย่างมาก เพราะมีการนำผ้าไปจัดแสดงในงาน The Brussels International Exposition of 1910 (World’s Fair) ณ ประเทศเบลเยียม และจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Tropenmuseum (กรุงอัมสเตอร์ดัม) จุดเด่นของโรงเขียนนี้นอกจากจะอยู่ที่ลวดลายละเอียดอ่อนช้อยบรรจง แล้วยังเน้นการลงสีครามได้งดงามราวกับผ้าไหม”

ลายปาสแรน

5. ผ้าบาติกลาย ‘ปาสแรน’ แห่งเมืองสุราการ์ตา: ท่ามกลางผ้าบาติกมากมายภายในพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ยังมีผ้าบาติกลายปาสแรนที่โดดเด่น สะดุดตา และดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นอย่างดี ผ้าผืนนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากความเชื่อเรื่องแม่โพสพหรือ ‘เทพีแห่งข้าว’ ของชาวญี่ปุ่น ช่างฝีมือบรรจงวาดลวดลายและให้สีสันอ่อนช้อยอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาทิ ‘ร่ม’ หมายถึงการคุ้มครองป้องกัน ‘พัด’ หมายถึงความสงบสุข ลวดลายบนผ้าผืนนี้จึงสื่อถึง ‘ศรี’ หรือจิตวิญญาณแห่งแผ่นดิน

ซึ่งได้ ‘น้ำ’ มาจากซาโดโน (Sadono) ผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดที่เป็นตัวแทนของท้องฟ้า เพื่อก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิต เห็นได้จากลายนกที่เกาะอยู่บนต้นไม้ ผ้าบาติกผืนนี้เป็นอีกหนึ่งหาชมยาก นอกจากในพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ แห่งนี้

ลายสิริกิติ์

6. ผ้าบาติกลาย ‘สิริกิติ์’ (Sirikit): ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง สื่อถึงพระสิริโฉมและพระจริยวัตรอันงดงาม เมื่อครั้งโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงเยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 8-16 กุมภาพันธ์ 2503 และเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทยและอินโดนีเซีย คุณมาเรีย วาโวรันตู ที่ปรึกษานิทรรศการได้แปลความหมายคำว่า ‘สิริกิติ์’ โดย ‘สิริ’ มาจากคำว่า ‘ศรี’ แปลว่าสวย และ ‘กิต’ แปลว่า การรวมกัน เมื่อรวมกันแล้วจึงหมายความถึง “สิ่งสวยงามอันหลากหลายที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อให้การรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแข็งแกร่งขึ้น”

“ลวดลายในผืนผ้าประกอบด้วยสามเหลี่ยมหน้าจั่วที่ภายในเต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายชนิด อาทิ ‘ใบเฟิร์น’ สัญลักษณ์ของพลังและความแข็งแกร่ง ‘ดอกกานพลู’ และ ‘ดอกกาแฟ’ แทนกลิ่นดอกไม้หอม ซึ่งเชื่อว่าช่วยส่งเสริมให้มีความเป็นอยู่ที่ดี ‘เมล็ดข้าว’ บนพื้นหลังของผืนผ้าเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรือง ส่วนพื้นหลังสีน้ำทะเลและลายเกล็ดปลา เชื่อว่าสามารถปกป้องผู้สวมใส่จากโรคภัยไข้เจ็บได้” ราฟกล่าวเสริม

นอกจากผ้าบาติกหาชมยากทั้ง 6 ผืน ภายในนิทรรศการ ผ้าบาติกในพระปิยะมหาราช: สายสัมพันธ์สยามและชวา ยังนำเสนอเรื่องราวการเสด็จฯ เยือนชวาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทั้งสามครั้ง จัดแสดงผ้าบาติกสะสมจากเมืองต่าง ๆ บนเกาะชวา เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 – 30 เมษายน พ.ศ. 2566 ณ ห้องจัดแสดง 3-4 พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชนินีนาถ ในพระบรมมหาราชวัง (วัดพระแก้ว) เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น. ปิดจำหน่ายบัตรเข้าชมเวลา 15.30 น.

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image