วัยรุ่น “ศักดิ์ศรี-ความรุนแรง” บทเรียนเยาวชนก้าวพลาด
ข้อมูลน่าสนใจ ผลสำรวจเยาวชนที่เข้าไปอยู่ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กปี 2564 ร้อยละ 82 ใช้สารเสพติด เช่น ยาสูบ แอมเฟตามีน รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัจจัยร่วมทำให้ก่อความผิดและทำผิดซ้ำ
ประกอบกับผลสำรวจแนวโน้มการดื่มสุราในประชากรไทยปี พ.ศ.2554 – 2564 พบคนไทยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลง แต่เพิ่มขึ้นในเยาวชนอายุ 15-19 ปี ทั้งชายและหญิง เป็นสถานการณ์เด็กและเยาวชนน่าห่วง ถูกพูดถึงในงานเสวนา “วัยรุ่นกับศักดิ์ศรีและความรุนแรง…บทเรียนราคาแพง” เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว และภาคีเครือข่าย ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สี่แแยกปทุมวัน กรุงเทพฯ
ในงานเปิดโอกาสให้อดีตเยาวชนก้าวพลาด จากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก มาถ่ายถอดบทเรียน หวังให้ทุกภาคส่วนตระหนักรู้ มีมาตรการป้องกัน และหาทางเฝ้าระวัง

อย่างเคส ‘เบนซ์และไวท์’ อดีตคู่อริอาชีวะจาก จ.ราชบุรี และกาญจนบุรี ก่อเหตุทะเลาะวิวาทจนทำให้มีผู้เสียชีวิต ถูกจับเข้าไปอยู่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กทั้งคู่ เข้าไปยังก่อเรื่องทะเลาะวิวาทอีก เปลี่ยนบ้านอยู่หลายครั้ง กระทั่งได้ย้ายไปอยู่บ้านกาญจนาภิเษก
เบนซ์ เล่าว่า ผมกินเหล้าและใช้สารเสพติดตั้งแต่อายุ 15 ปี กับเพื่อนๆ ในชุมชน จนเมื่อเข้าเรียนอาชีวศึกษา เริ่มก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับคู่อริต่างสถาบัน จนถูกจับเข้าสถานพินิจฯ ผมก็ยังตามหาคู่อริเพื่อแก้แค้น สุดท้ายมาทราบว่าคู่อริถูกย้ายไปบ้านกาญจนาภิเษก จึงขอย้ายตามสำเร็จ เข้าไปกลายเป็นว่าได้ซึมซับและถูกขัดเกลา ด้วยระบบ สภาพแวดล้อม และเพื่อนๆ ที่อยู่ในบ้าน
“บ้านกาญจนาภิเษกไม่เหมือนสถานพินิจฯ อื่นๆ อย่างสถานพินิจฯ ทั่วไป รั่วรอบขอบชิด มีผู้คุมยืนถือไม้คอยตี แต่ผมยังรวมกลุ่มเพื่อน หาอาวุธได้ เคยแทบยกบ้านตีกัน แต่พอเข้ามาบ้านกาญจนา ไม่มีรั่วรอบขอบชิด จริงๆ จะหนีก็ได้ แต่ใจอยากแก้แค้นคู่อริมาก สุดท้ายบริบทไม่เอื้อต่อการแก้แค้นเลย ผมหาพวกไม่ได้ ไปชวนเพื่อนก็บอกกลับมาว่าอย่ามีเรื่องเลย ขณะที่เจ้าหน้าที่ก็เหมือนพ่อแม่พี่น้อง คอยดูแลเราอย่างดี เข้ามาอยู่ได้ 1-2 เดือน ได้ฝึกวิธีคิด จากการวิเคราะห์ข่าว วิเคราะห์ภาพยนตร์ ทำมาเรื่อยๆ จนความคิดผมเริ่มเปลี่ยนไป”
ทั้งเบนซ์และไวท์เริ่มเปลี่ยนใจไม่อยากแก้แค้น แต่ก็กลัวอีกฝ่ายลงมือก่อน จนวันหนึ่งได้มีโอกาสพูดคุยกัน พวกเขาเปิดใจและปรับความเข้าใจกัน นั่งย้อนอดีตว่าระยะเวลา 5-6 ปีก่อนหน้านั้น ที่พวกเขาก่อเรื่องทะเลาะวิวาทกัน มันเพราะอะไร ทำไปเพื่ออะไร สุดท้ายค้นพบว่ามันไม่ใช่เรื่องของพวกเขาเลย เป็นเรื่องของเพื่อนบ้าง น้องในกลุ่มบ้าง สุดท้ายได้เปลี่ยนคนที่โกรธแค้นกันให้เป็นเพื่อนสนิทกันจนถึงปัจจุบัน
“อยากฝากน้องๆ หากเจอเหตุการณ์อะไร ขอให้มีสติ คิดให้มาก เพราะถ้าพลาดแล้วบางคนสามารถแก้ตัวได้ แต่บางคนอาจเสียชีวิต ไม่มีโอกาสได้แก้ไขอะไรเลย และฝากครอบครัวที่มีลูกหลานวัยรุ่น ให้พยายามพูดคุย อยู่เคียงข้างเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องเข้าข้างเมื่อทำผิด แต่ต้องเอาใจใส่ เปิดโอกาส ซึ่งสำคัญมาก” เบนซ์กล่าว

อดีตเยาวชนอีกคน ‘ใหญ่’ ซึ่งเติบโตมาในชุมชนที่สภาพแวดล้อมไม่ดี ด้วยความอยากมีตัวตนในแกงค์ จึงก่อความผิดคดีอาญาและถูกจับตั้งแต่อายุ 13-14 ปี ทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า เข้าๆ ออกๆ สถานพินิจฯ อยู่หลายแห่ง เป็นอย่างนี้ยิ่งได้ใจ เพราะกลายเป็นว่ากลับได้รับการยอมรับจากแกงค์มากขึ้น และเขาก็มีคู่อริที่ฆ่าพ่อของเขา ให้ต้องตามไปเช็กบิลอยู่ในสถานพินิจฯ เช่นกัน
ใหญ่ เล่าว่า ความแค้นของผมเปรียบดั่งรอยหยักในสมอง เป็นความทรงจำขยะที่ถูกบ้านกาญจนฯรีไซเคิลให้มีความหมายที่ดี คือ การให้อภัยได้ ซึ่งนี่เป็นระบบบ้านที่ผมไม่เคยเจอ จากที่เคยมีความคิดว่าเขาฆ่าพ่อเรา เราฆ่าเขา ก็ถูกแล้ว คิดอย่างนี้มาตลอด
ไม่เพียงฝึกความคิด บ้านกาญจนาฯภิเษก ยังทำงานกับครอบครัว ชุมชนที่เขาอยู่อาศัย เพื่อแก้ไขเด็กคนหนึ่ง กรณีใหญ่ทำให้เกิดพิธีวันสันติภาพในบ้านกาญจนาภิเษก เป็นวันสัญลักษณ์แห่งการขอโทษและให้อภัยกัน ทำให้ใหญ่และเยาวชนก้าวพลาดอีกหลายคน ได้ขอโทษและให้อภัยกัน หลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง
ซึ่ง ป้ามล-ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก เล่าว่า จริงๆ คนทุกวัยมีด้านมืดหมดแหละ แต่วัยรุ่นอาจนำด้านมืดมาใช้ได้ง่าย ด้วยอายุตามช่วงวัยอาจทำให้เขาขาดความยั้งคิด ซึ่งเมื่อทำผิดพลาดไปแล้ว ต้องนำมาขัดเกลา แต่การส่งเสริมในด้านดีเยาวชนคนหนึ่ง ไม่อาจปล่อยให้งอกด้วยตัวมันเองหรือเป็นชะตาชีวิต แต่ต้องช่วยด้วยการมีวัฒนธรรมองค์กร ที่มองว่าเด็กทุกคนต้องปลอดภัย ทุกคนมีสิทธิเนื้อตัวร่างกาย ไม่มองว่านี่คือคุก

ป้ามลฝากว่า เรื่องนี้เฝ้าระวังและป้องกันได้ จะทำให้มีเด็กและเยาวชนติดคุกน้อยลง ซึ่งหน่วยงานรัฐต้องปรับตัว ไม่ตัดเสื้อโหล่ ไม่ทำอะไรซ้ำซากที่ไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ต้องเปลี่ยนได้แล้ว เด็กๆ ไม่ได้เลวร้าย แม้สิ่งที่เขาทำก็ไม่ได้ถูก แต่ต้องหาวิธีที่เหมาะสมที่สุด สร้างการเปลี่ยนแปลง
“เราต้องเชื่อมั่นเด็กและเยาวชนทุกคนเปลี่ยนแปลงได้ หากได้รับโอกาส” ป้ามล กล่าวทิ้งท้าย