ไทยจัดในกลุ่มน่าเป็นห่วง แก้วิกฤต ปัญหาล่วงละเมิดทางเพศเด็ก
ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีกลุ่มคนอาศัยความล้ำหน้านี้เป็นช่องทางก่ออาชญากรรม รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กและเยาวชน ล้วนเป็นสถานการณ์ที่ต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด จากสถิติคดีค้ามนุษย์เด็กและการแสวงประโยชน์ทางเพศผ่านระบบออนไลน์ในประเทศไทยในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา (2559-ตุลาคม 2566) อ้างอิงข้อมูลจากชุดปฏิบัติการปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ต พบว่า เด็กไทยถูกล่วงละเมิดทั้งการค้ามนุษย์ ล่วงละเมิดทางเพศ ถูกครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็ก และนำข้อมูลอนาจารของเด็กเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์มากขึ้นแบบก้าวกระโดดตั้งแต่ปี 2565 โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ถึง 24 เท่า และพบผู้กระทำผิดเพิ่มขึ้นเป็น 56 เท่า เมื่อเทียบกับปีที่เริ่มเก็บสถิติ แม้ประเทศไทยมีกฎหมายเอาผิดเรื่องสื่อลามกอนาจารเด็ก แต่การเดินหน้าแก้ไขวิกฤตปัญหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กในประเทศไทยกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
บนเวทีเสวนาพิเศษ “ขั้นตอนสำคัญช่วยลดการล่วงละเมิดทางเพศเด็กและเยาวชนทางออนไลน์” และ “การปกป้องเด็กและเยาวชนจากการล่วงละเมิดทางเพศ : ความท้าทายและก้าวต่อไปเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น” ที่จัดขึ้นในงานประชุมสุดยอดการคุ้มครองเด็ก Child Protection Summit, Bangkok 2024 โดยมูลนิธิเด็กโลกในสมเด็จพระราชินีซิลเวียแห่งสวีเดน ร่วมกับมูลนิธิพิทักษ์และคุ้มครองเด็ก (Safeguardkids Foundation) ได้เสนอจุดสังเกตที่น่าสนใจพร้อมแนะแนวทางเพื่อให้การร่วมมือแก้ไขปัญหาที่ละเอียดอ่อน จากการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
“กีโยม แลนดรี” ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สำนักงานเลขาธิการ องค์การเอ็คแพท กล่าวว่า จากการทำงานในระดับนานาชาติ ประเทศ ไทยคือ 1 ใน 25 ประเทศที่อยู่ในกลุ่มน่าเป็นห่วง โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่ใช่แค่เด็กกลุ่มเปราะบางเท่านั้น แต่ปัญหาดังกล่าวข้ามศาสนา ข้ามสังคม เกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน และไม่มีความแตกต่างว่าจะเป็นเด็กหญิงเด็กชาย เด็กในเมืองหรือชนบท ดังนั้น ต้องดูแลเด็กๆ ทุกกลุ่ม ควรเน้นรับฟังและให้ความช่วยเหลือเด็กซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะที่ผ่านมามักใช้โครงการ หรือยุทธศาสตร์ต่างๆ ที่ซับซ้อนเข้าไปช่วยเหลือ แต่โครงการเหล่านั้นไม่ได้มีผลทำให้ชีวิตเด็กดีขึ้น
ด้าน “ดร.กัณฐมณี ลดาพงษ์พัฒนา” จากเครือข่ายสิทธิเด็กประเทศไทย เธอกล่าวว่า เด็กและเยาวชนที่อยู่ในสถานรองรับประเภทต่างๆ คือกลุ่มเปราะบางหนึ่งที่ถูกละเมิดทางเพศได้ง่ายและไม่มีใครคาดคิด มีงานวิจัยชี้ชัดว่าสถานสงเคราะห์เด็กในประเทศไทยมีจำนวนมากเกินพอแล้ว ควรผลักดันให้เด็กและเยาวชนกลับไปอยู่กับครอบครัวซึ่งเป็นหนทางที่ดีที่สุด
“เด็กและเยาวชนที่มาอยู่ในสถานรองรับจะขาดทักษะการใช้ชีวิตเพราะมีคนจัดการให้ มีสภาพจิตใจที่เปราะบางจากภาวะพร่องรัก จะวิ่งหาคนที่มาเยี่ยมเพราะโหยหาความรัก คนทั่วไปที่มาทำกิจกรรมจึงเข้าถึงเด็กได้ง่ายมาก นอกจากนี้ยังถูกกลั่นแกล้ง หรือถูกล่วงละเมิดโดยรุ่นพี่ หรือผู้ดูแลสถานรองรับ ตัวเด็กไม่กล้ามีปากมีเสียง บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ อยู่ในสภาวะจำยอมด้วยความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่แตกต่างกัน เด็กเริ่มมีภาวะซึมเศร้าไปจนถึงทำร้ายตัวเองและฆ่าตัวตาย พบว่าเด็กมีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกกับเพื่อนในสถานรองรับที่ปรากฏว่ามีการระบาดของ HIV” เธอกล่าว
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ภาคปฏิบัติ กลุ่มนักวิชาการ และนักกฎหมายบนเวทีเสวนาพิเศษ ยังแสดงความเห็นตรงกันอีกว่า กฎหมายที่มีอยู่ในประเทศไทยยังไม่เพียงพอ เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหลังจากเด็กถูกล่วงละเมิดแล้ว และหลายส่วนไม่เอื้อต่อการทำงาน จะดีกว่าหรือไม่หากเร่งคลอดกฎหมายที่สามารถสกัดกั้นการล่วงละเมิดทางเพศทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ก่อนเหตุร้ายจะเกิด
นอกจากการพัฒนาปรับปรุงตัวกฎหมายให้เท่าทันพฤติกรรมผู้กระทำผิดและความล้ำหน้าของเทคโนโลยีแล้ว สิ่งสำคัญคือ การสร้างวัคซีนไซเบอร์ หรือ Digital Literacy ให้แก่เด็ก รวมถึงพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู และสังคม เพื่อให้เกิดการสูญเสียน้อยกว่าการแก้ไขที่ปลายเหตุ