เส้นทางสู่การเป็น “นางงาม” นั้น เปรียบเสมือนถนนแห่งความฝันสำหรับผู้หญิงหลายคน แต่กระนั้นก็เป็นเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
นอกจากความสวยที่เพียบพร้อมแล้ว บุคลิกภาพ ท่วงท่าการเดิน การพูด ทัศนคติในการมองสิ่งต่างๆ และความสามารถก็เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับสาวงามที่จะเป็น 1 เดียว ผู้ครอง “มงกุฎ” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์
เพื่อให้ได้ “เพชรเม็ดงาม” ที่จะเป็นตัวแทนประเทศไทยสู่ “จักรวาล” คนต่อไป ในการเปิดรับสมัครสาวงามปีนี้ กองประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2018 ได้เชิญรุ่นพี่นางงามระดับ “ตำนาน” มาเป็นคณะกรรมการคัดเลือกในรอบแรก
ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของการ “หวนคืน” เวทีของนางงามระดับตำนานที่บางคนหายไปกว่า 20 ปี ไม่ว่าจะเป็น ปรียานุช ปานประดับ รองนางสาวไทย ปี 2531, ยลดา รองหานาม นางสาวไทย ปี 2532, อารียา สิริโสภา นางสาวไทยปี 2537, อภิสมัย ศรีรังสรรค์ นางสาวไทย ปี 2542, ไข่มุก-ชุติมา ดุรงค์เดช มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2009, ณัฐพิมล นาฏยลักษณ์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2012, แนท-อนิพรณ์ เฉลิมบูรณวงศ์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2015
สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ประธานอำนวยการกองประกวดฯ ให้เหตุผลที่เชิญนางงามรุ่นพี่มาเป็นกรรมการคัดเลือกว่า นางงามรุ่นพี่เคยมีประสบการณ์ไปประกวดยังเวทีระดับโลกมาแล้ว ดังนั้น จะทราบดีถึง “ความพิเศษที่เรามองหาในตัวผู้เข้าสมัคร” ว่ามีคุณสมบัติใดเหมาะสมจะเป็นตัวแทนสาวไทยไปประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2018
เรียกว่า “เข้มข้น” ตั้งแต่วันสมัคร ที่สาวงามจะถูกสแกนด้วยสายตาอันเฉียบคมของเหล่า “ตัวแม่นางงาม” ทั้ง 18 คน
ทั้งนี้ สิ่งที่ล้ำค่ามากกว่าการได้เจอไอดอลในดวงใจ ก็คงจะเป็นคำแนะนำจากรุ่นพี่ผู้มากประสบการณ์ที่จะฝากไว้ให้ “นางงามรุ่นน้อง” ในรุ่นต่อๆ ไป
เริ่มต้นที่พี่ใหญ่ของครอบครัวนางงาม “ซ้อนุช” ปรียานุช ปานประดับ รองนางสาวไทยปี 2531 ที่หายไปจากเวทีนางงาม 28 ปี กล่าวถึง “การเป็นนางงาม” ว่า คนที่จะมาเป็นนางงามจะต้องเป็นคนที่ “เข้ากับทุกคนได้” และ “เสียสละเวลาส่วนตัว” ได้ ตลอดจนมีทัศนคติที่ดี และคิดในทางบวก เพราะเวลาเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วควบคุมสติอารมณ์ไม่ได้ จะเป็นเรื่องลำบาก ด้วยส่วนใหญ่แล้วนางงามจะมีกิจกรรมที่ต้องเข้าสังคม และทำงานร่วมกับคนอื่นๆ มากมาย
“นางงามเป็นแค่ปีเดียว แต่เหนื่อย เหนื่อยมากๆ และหลังจากที่ดำรงตำแหน่งครบ 1 ปีแล้ว ภาพลักษณ์ของการเป็นนางงามก็จะติดตัวเราตลอดไป ซึ่งเป็นภาพลักษณ์อีกในรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างจากนักแสดง อาจจะด้วยคำเรียกว่า นางงาม ด้วยที่ทำให้นางงามต้องรับภาระหนักมากในเรื่องการวางตัว ซึ่งรวมถึงในเรื่องส่วนตัวด้วย” ปรียานุชกล่าว และให้คำแนะนำรุ่นน้องที่จะไปสู่จักรวาลคนต่อไปว่า
“สิ่งแรกคือทุกคนจะตื่นเต้น ไม่ว่าใครก็ตามแต่ อยากให้น้องๆ ที่ไปยืนอยู่จุดนั้น ทำตัวสบายๆ วันนั้นคือวันที่ดีที่สุดของเรา เราไม่ได้มาเพื่อแข่งขัน เพราะหากคิดว่าไปแข่งขันแล้วก็จะเป็นการบั่นทอนจิตใจของเรา แต่ถ้าคิดว่าวันนี้เรามาพร้อมกับความสุข เราจะได้พูดในสิ่งที่เราอยากพูด เราก็จะเป็นธรรมชาติ ไม่อยากให้น้องๆ เสียความมั่นใจ เมื่อรอบสุดท้ายแล้วเราควรมีความสุขที่สุด จงยืนอย่างภูมิใจที่สุดว่าเราได้พาสายสะพายไทยแลนด์มายืนอยู่จุดสูงสุดของเส้นทางนี้แล้ว เราดีที่สุดแล้ว ต้องคิดแบบนี้”
ฟาก ป๊อป-อารียา สิริโสภา นางสาวไทย ปี 2537 กล่าวว่า “พลัง” เป็นเรื่องสำคัญที่นางงามควรจะต้องมี ซึ่งเป็นเรื่องที่สอนกันไม่ได้ เพราะเป็นอินเนอร์ที่ออกมาจากข้างใน ถ้าจะบอกว่าให้เป็นตัวของตัวเอง สิ่งแรกคือต้อง “รู้จักตัวเองก่อน” และเรื่องภาษาก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะต้องเข้าใจก่อนว่าประกวดเวที “มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์” เป้าหมายคือไปประกวดนางงามจักรวาล และต้องมีความมั่นใจพอสมควร
“ในสมัยที่ป๊อปประกวด สิ่งที่รู้สึกว่ากรรมการโหดที่สุดคือกองประกวดเข้มงวดมากในการตรวจสอบประวัติ มีการสืบประวัติหนักมาก มากกว่านางงามจักรวาลเสียอีก ในการประกวดจะมีการลบเครื่องสำอาง ไม่ให้แต่งหน้าเพื่อดูหน้าตาจริงๆ คณะกรรมการจะเข้ามาดูเลยใกล้ๆ ซึ่งทุกคนจะทราบกันดีในตอนนั้นว่าถ้าใครเข้าไปแล้วอยู่ในห้องนาน คนนี้ได้เข้ารอบแน่นอน แต่ถ้าเขาไม่สนใจก็มองผ่านเลย”
ป๊อปยังแนะรุ่นน้องอีกว่า ดอกไม้สวยแต่ไม่หอม อาจไปได้ไม่ไกล แต่ถ้าดอกไม้ธรรมดาแล้วหอมเหมือนมะลิ ก็อาจจะไปได้ไกล เมื่อขึ้นเวทีแล้ว ในการพรีเซนต์ตัวเอง สิ่งสำคัญคือ คุณต้องเล่าให้ฟังว่าคุณมีอะไร ที่สะท้อนประสบการณ์ของคุณ และต้องกระชับด้วย ไม่ใช่มาบอกให้เชื่อ แต่บุคลิกภาพก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นนอกจากสวยแล้วต้องมีเสน่ห์ด้วย
ด้าน ชาม-ไอยวริญท์ โอสถานนท์ โธมัส มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2006 เผยเทคนิคว่า นางงามควรที่จะมีความมั่นใจในตัวเอง และพยายามที่จะนำเสนอออกมาทางสายตา เพราะสายตาโกหกไม่ได้ ส่งพลังออกมาให้เยอะๆ เช่น บางคนพูดคำตอบที่ถูกต้องออกมาแต่สายตาไม่ได้แสดงออกให้เชื่อแบบนั้น
“อย่าเป็นน้ำเต็มแก้ว พร้อมที่จะเรียนรู้เสมอ ต้องเป็นคนที่หนักแน่นและมีจิตใจที่แข็งแกร่ง เพราะบางครั้งไม่ได้มีคนเชียร์เราตลอด มีคนชอบก็ต้องมีคนไม่ชอบ ต้องอยู่ตรงนั้นให้ได้ แต่อย่างไรก็ตามอย่าสูญเสียความเป็นตัวเอง” ไอยวริญท์กล่าว
ขณะที่ น้ำตาล-ชลิตา ส่วนเสน่ห์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 เผยว่า แน่นอนว่าความโดดเด่นอย่างแรกของนางงามคือรูปลักษณ์ ที่จะดึงดูดสายตาของผู้คน แต่ที่มากไปกว่านั้นคือ “ความพร้อม” ในทุกๆ ด้าน อย่างตนไม่เก่งภาษาอังกฤษก็ต้องไปเรียนเพิ่มเติม
“การเป็นนางงามต้องทำด้วยตัวเองทุกอย่าง เพราะฉะนั้นความอดทนก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งถ้าพูดถึงเคล็ดลับตาลมองว่าขึ้นอยู่กับคนมากกว่า แต่สิ่งแรกที่ควรจะต้องมีคือความมั่นใจ และความเป็นตัวเอง” ชลิตากล่าว
ปิดท้ายที่ น้องเล็กของครอบครัวนางงาม มารีญา พูลเลิศลาภ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2017 ที่เผยถึงเคล็ดลับของการเป็นนางงามว่า ภาษากาย หรือ Body Language (บอดี้ แลงเกวจ) เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นการแสดงให้คณะกรรมการได้เห็นว่าเราพร้อมที่จะตอบคำถาม และไม่ต้องกังวลว่าจะตอบคำถามได้หรือไม่ได้ เพราะการตอบคำถามมันไม่มีผิดหรือถูกอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องการเห็นจากการตอบคำถามอีกมุมหนึ่งคือ “ไหวพริบ”
“ในเรื่องของเคล็ดลับ มารีญาว่าแต่ละคนจะมีเทคนิคไม่เหมือนกัน อยู่ที่ความมั่นใจ คือทำยังไงก็ได้ให้เรารู้สึกมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน พูด ยืน หรือโพส นอกจากนี้ คือต้องมี สติ และข้อดีของปีนี้คือการมีเวลาเตรียมตัวเยอะขึ้นก่อนที่จะไปประกวดบนเวทีโลก ซึ่งระหว่างนั้นน้องๆ ก็ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์และเรียนรู้ให้เยอะที่สุด เพราะประสบการณ์เป็นเหมือนกล้ามเนื้อ ที่จะทำให้เราแข็งแรงมากขึ้น” มารีญากล่าวด้วยรอยยิ้ม
เรียกได้ว่า “ตัวแทนสาวไทย” ของเราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นดั่งเพชรน้ำงาม ที่ทั้ง “สวย แข็งแกร่ง และทรงพลัง”
ขอบคุณรูปภาพจาก thaimiss, mediathai.net, thailandpageant, t-pageant, postjung, dek-d, kapook และเพจ Miss Universe Thailand