เทรนด์ไมโครเผย สถานการณ์ความปลอดภัยปี2019

ทุกปี เทรนด์ไมโครจะทำรายงานประจำปีในชื่อ Security Predictions Report ซึ่งการคาดการณ์ด้านความปลอดภัยที่ใกล้เคียงความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก ทั้งบริษัทและผู้ใช้ระดับคอนซูเมอร์ทั้งหลายจึงจำเป็นต้องพิจารณาว่าคำแนะนำด้านความปลอดภัยไหนบ้างที่ควรนำมาประยุกต์ใช้

การคาดการณ์เรื่องสถานการณ์ความปลอดภัยประจำปีนี้ ครอบคลุมหลายบริเวณตั้งแต่คลาวด์, คอนซูเมอร์, การมีส่วนร่วมของพลเมืองทางดิจิทัล, วงการผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย, โรงงานอุตสาหกรรมและกลุ่ม SCADA, โครงสร้างพื้นฐานบนคลาวด์, และระบบบ้านอัจฉริยะ

รายงานพิเศษ : Mapping the Future:Dealing With Pervasive and Persistent Threats เทรนด์ไมโคร คาดการณ์ภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นในปี 2019 ซึ่งจะมีการคุกคามและโจมตีต่อเนื่องเข้มข้นกว่าเดิม

การคาดการณ์ด้านความปลอดภัยประจำปี 2019 ของเทรนด์ไมโคร มาจากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทั้งในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้, เทรนด์ของตลาด, และผลกระทบของอันตรายในวงกว้าง ซึ่งมีการแบ่งประเภทตามบริเวณหลักที่ได้รับผลกระทบไว้ดังต่อไปนี้

Advertisement

1.กลุ่มผู้ใช้ระดับคอนซูเมอร์การโจมตีในลักษณะหลอกลวงทางจิตวิทยาผ่านอีเมล์และข้อความต่างๆ จะเข้ามาแทนที่การโจมตีระบบผ่านช่องโหว่แบบตรงๆ ในอดีต เรียกว่าการโจมตีที่เน้นการหลอกลวง หรือฟิชชิ่งจะเพิ่มขึ้นในปี 2019 อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

2.กลุ่มผู้ใช้ระดับองค์กรความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากการเปิดให้พนักงานทำงานจากบ้านหรือระยะไกลนั้น กำลังคุกคามองค์กรเหมือนกับสมัยที่ BYOD ได้รับความนิยมใหม่ๆ โดยพนักงานที่ทำงานแบบเชื่อมต่อผ่านเน็ตจากบ้านนั้นจะเป็นการเปิดจุดเข้าถึงเครือข่ายขององค์กรเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก อันเป็นที่มาของเทรนด์ 2 ประการ ได้แก่ ความท้าทายในการจัดการการทำงานภายนอกสำนักงาน ที่องค์กรจะต้องพยายามรักษาความสามารถในการมองเห็นการเคลื่อนไหวของข้อมูลบริษัทไม่ว่าพนักงานจะเข้าถึงผ่านแอพพ์บนคลาวด์ หรือซอฟต์แวร์ประสานงานทั้งโปรแกรมแชต, ประชุมผ่านวิดีโอ, และการแชร์ไฟล์จากบ้าน และประการที่ 2 ได้แก่ การนำอุปกรณ์อัจฉริยะมาใช้ในบ้านมากขึ้น จนทำให้พนักงานมองว่าถ้านำมาใช้กับการทำงานด้วยก็จะยิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้นเช่นกัน จนนำไปสู่สภาพแวดล้อมการทำงานที่มีส่วนผสมของอุปกรณ์ที่หลากหลาย

3.หน่วยงานภาครัฐยังคงต้องคอยรับมือกับการแพร่กระจายของข่าวหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระหว่างที่มีแรงกดดันจากการเลือกตั้งต่างๆ เมื่อมองย้อนไปถึงบทบาทที่มีอิทธิพลอย่างมากของสังคมออนไลน์ต่อการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะการแพร่กระจายข่าวเท็จนั้น เป็นการสร้างความท้าทายต่อการจัดการการเลือกตั้งของประเทศอื่นๆ ในอนาคตเป็นอย่างมาก ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ทำให้ข่าวหลอกลวงนั้นมีผลกระทบมากและต่อเนื่อง เช่น แรงจูงใจ, เครื่องมือที่นำมาใช้ได้, และความสามารถในการเข้าถึงแต่ละแพลตฟอร์ม ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลได้แสดงความพยายามในการควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมากมาย แต่ก็ถือว่ายังไม่เพียงพอที่จะสามารถปิดกั้นการกระจายข่าวเท็จบนเน็ตได้อย่างทันท่วงที

4.วงการผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยอาชญากรไซเบอร์จะใช้เทคนิคที่หลากหลายในการแฝงและฝังตัวเอง เพื่อที่จะต่อกรกับเทคโนโลยีที่ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการนำแมชชีนเลิร์นนิ่งมาใช้ป้องกันอันตรายทางไซเบอร์ เรียกว่าเหล่าผู้ไม่ประสงค์ดีพยายามจะหาเทคนิคที่แพรวพราวเพื่อรับมือหรือ “ปรับตัว” เข้ากับรูปแบบของระบบความปลอดภัยใหม่ด้วยเช่นกัน โดยมีการมองหารูปแบบการใช้ประโยชน์จากองค์ประกอบของระบบต่างๆ แบบที่คนทั่วไปคาดไม่ถึง ยึดแนวการ “คิดนอกกรอบ” เป็นเทรนด์ใหม่ที่สร้างความท้าทายในกลุ่มแฮกเกอร์ ทำนองว่าใครคิดวิธีแหกคอกได้จะได้รับการยกย่องให้เป็นเทพ พร้อมมีการเรียบเรียงเทคนิควิธีแฮกดังกล่าวเป็นเอกสารที่เข้าใจง่ายและแบ่งปันกันในวงการมืดอย่างรวดเร็ว

5.ระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรมการโจมตีระบบ ICS ตามโรงงานอุตสาหกรรมจริงในวงกว้างนั้นจะกลายเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมากขึ้น เนื่องจากหลายประเทศที่มีการพัฒนาความสามารถทางด้านไซเบอร์มีแนวโน้มจะสนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลังการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศเล็กๆ ประเทศอื่น ไม่ว่าจะเพื่อความได้เปรียบทางด้านการเมืองหรือการทหาร หรือแม้แต่แค่ทดสอบความสามารถของตนเองกับประเทศที่ยังไม่มีศักยภาพพอที่จะต่อต้านการโจมตีเหล่านี้ได้ หรือแม้แต่ด้วยแรงจูงใจอื่นๆ ที่คาดไม่ถึงไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานอย่างประปา, ไฟฟ้า, หรือแม้แต่ระบบควบคุมทางอุตสาหกรรม หรือ ICS ที่ใช้กันในโรงงานผู้ผลิตต่างๆ ซึ่งช่องโหว่ในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ได้รับความสนใจมากขึ้น เห็นได้จากการที่ทาง EU NIS Directive ออกกฎหมายเพิ่มเติมให้ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ปฏิบัติตาม เพราะการโจมตีระบบ ICS ที่สำเร็จ ย่อมส่งผลตั้งแต่การปิดทำการของผู้ให้บริการ, สร้างความเสียหายแก่อุปกรณ์และเครื่องจักร, สร้างความเสียหายทางการเงินทางอ้อม, และที่ร้ายแรงที่สุดคือ ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยและสุขภาพของพลเมือง

6.โครงสร้างพื้นฐานบนคลาวด์จะมีการค้นพบช่องโหว่บนซอฟต์แวร์เกี่ยวกับคลาวด์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Docker, โปรแกรมด้านคอนเทนเนอร์, หรือตัว Kubernetes เอง, หรือแม้แต่ระบบที่ดูแลคอนเทนเนอร์อยู่เบื้องหลัง ที่มีการนำมาใช้ติดตั้งบนระบบคลาวด์อย่างแพร่หลาย ไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการค้นพบช่องโหว่บน Kubernetes จำนวนหนึ่ง และเริ่มจะพบปัญหาด้านความปลอดภัย “ระดับวิกฤต” ในช่วงก่อนสิ้นปี นอกจากนี้ทาง Kromtech ยังพบอิมเมจ Docker มากกว่าหลายสิบรายการที่ถูกดาวน์โหลดสู่สาธารณะมากถึง 5 ล้านครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา ก่อนที่เจ้าของจะรู้ตัวแล้วดึงออกยิ่งมีองค์กรย้ายระบบของตัวเองขึ้นไปอยู่บนคลาวด์มากเท่าไร เราก็จะยิ่งเห็นการค้นพบช่องโหว่บนโครงสร้างพื้นฐานของคลาวด์มากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะในกลุ่มสังคมผู้พัฒนาโอเพ่นซอร์สที่มองหาประโยชน์จากการเจาะดูซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวกับคลาวด์

7.ระบบสมาร์ทโฮมอาชญากรไซเบอร์จะแย่งกันเข้ามาเจาะระบบ IoT จนได้ชื่อว่าเป็น “สงครามฝังซอมบี้” โดยเราเตอร์จะยังเป็นเหยื่ออันโอชะของผู้โจมตีที่จ้องเข้ามาควบคุมอุปกรณ์เชื่อมต่อจำนวนมากด้านหลังเราเตอร์ ซึ่งจะดุเดือดนองเลือดเหมือนเทศกาลแร้งรุมทึ้งผู้ใช้ระบบควบคุมบ้านอัจฉริยะในช่วงต้นทศวรรษ 2000 นี้ตัวอย่างเช่น การโจมตีผ่านเราเตอร์ที่เข้าถึงอุปกรณ์อัจฉริยะภายในบ้าน หรือการโจมตีที่เจาะจงเล่นงาน IoT นั้น มักใช้ซอร์สโค้ดเดียวกันกับตัวมัลแวร์ Mirai หรือมัลแวร์ที่มีพฤติกรรมคล้ายกัน ซึ่งมีการสแกนอินเตอร์เน็ตโดยอัตโนมัติเพื่อค้นหาอุปกรณ์เหยื่อที่เข้าโจมตีได้ และเนื่องจากจำนวนอุปกรณ์ที่จะฝังซอมบี้นั้นมีจำนวนจำกัด และโค้ดมัลแวร์ที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์เหล่านี้ให้เป็นเครื่องมือในการโจมตีแบบ Denial of Service (DDoS) ก็หน้าตาเหมือนกัน อาชญากรไซเบอร์ทั้งหลายจึงพยายามเขียนโค้ดเพิ่มเติมเพื่อปิดกั้นแฮกเกอร์รายอื่นไม่ให้มาใช้วิธีเดียวกันในการติดเชื้ออุปกรณ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image