งานวิจัยใหม่ของรองศาสตราจารย์มานู กอยาล นักวิชาการด้านรังสีวิทยาของสำนักการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ในนครเซนต์หลุยส์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเผยแพร่ออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ ระบุว่า ผลการวิจัยจากการทดลองในกลุ่มตัวอย่าง พบว่า สมองของสตรีวัย 30 ปี อยู่ในสภาพอ่อนวัยกว่าสมองของผู้ชายในวัย 30 ปี มากถึง 3-4 ปี เมื่อเปรียบเทียบในแง่ของการเผาผลาญน้ำตาลกลูโคสเพื่อใช้เป็นพลังงานในการทำงานของสมอง
งานวิจัยดังกล่าวใช้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นอาสาสมัครกว่า 200 คน แยกเป็นผู้หญิง 121 คน ผู้ชาย 84 คน อายุของกลุ่มตัวอย่างมีตั้งแต่ 20 ปีเรื่อยไปจนถึงสูงสุด 82 ปี วิธีการวิจัยกำหนดให้กลุ่มตัวอย่างทุกคนผ่านการสแกนสมองด้วยเทคโนโลยี เพท สแกน (Positron Emission Tomography scan) เพื่อวัดระดับการไหลเวียนของออกซิเจนและกลูโคสภายในสมอง โดยรองศาสตราจารย์กอยาลชี้ว่าการวัดการเผาผลาญในสมองช่วยให้เราเข้าใจถึงความแตกต่างบางอย่างระหว่างเพศหญิงกับเพศชายเมื่อสูงวัยขึ้นได้ดีขึ้น
กอยาลตั้งข้อสังเกตว่า การที่สมองของเพศชายดูแก่กว่า ทั้งๆ ที่อายุเท่าๆ กันเมื่อเทียบกับสมองของผู้หญิงนั้น ไม่ได้เกิดจากการที่สมองของเพศชายชราลงเร็วกว่า แต่เป็นเพราะในทันทีที่ผู้ชายและผู้หญิงเริ่มต้นวัยผู้ใหญ่ สมองของผู้ชายจะเริ่มต้นวัยผู้ใหญ่ในจุดที่แก่กว่าสมองของเพศหญิงราวๆ 3 ปี “สิ่งที่เรายังไม่รู้ก็คือ การอ่อนวัยกว่านี้หมายถึงอะไรกันแน่?” กอยาลระบุ
อย่างไรก็ตาม รองศาสตราจารย์กอยาลระบุว่า สภาพที่เกิดขึ้นดังกล่าวนั้นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เพศหญิงมักไม่ค่อยมีปัญหาในแง่ของค็อกนิชัน หรือการจดจำทำความเข้าใจมากเท่ากับที่เพศชายมีเมื่อวัยล่วงเลยเข้าสู่ระดับสูงอายุหรือบั้นปลายของชีวิต แม้ว่าจะมีปัญหาอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะในความเป็นจริงแล้วสมองของผู้หญิงอายุเยาว์กว่าสมองของผู้ชายในวัยเดียวกันและสามารถทำงานได้เฉียบแหลมกว่านั่นเอง
รองศาสตราจารย์กอยาลเปิดเผยว่า ตนและทีมวิจัยกำลังทำวิจัยต่อเนื่องจากการค้นพบดังกล่าวนี้อยู่ในเวลานี้ เพื่อยืนยันสมมุติฐานที่ได้จากการวิจัยครั้งแรกนี้นั่นเอง
