พบแล้ว”ถ้ำพิธีกรรมพันปี” ใต้ซากเมืองโบราณมายา

โบราณวัตถุภายในถ้ำพิธีกรรมบูชา บาลัมกู (ภาพ-Karla Ortega, Great Mayan Aquifer Project.)

ทีมสำรวจของสถาบันเพื่อมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติ (เอ็นไอเอเอช) ของเม็กซิโก นำโดย กิลเลอร์โม เด อันดา นักโบราณคดีประจำสถาบัน ประสบความสำเร็จในการค้นหา ถ้ำประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าเสือจากัวร์ หรือ “เทพบาลัมกู” ของชนเผ่ามายา อยู่ภายใต้ซากเมืองโบราณ ชิเชน อิทซา บนคาบสมุทรยูคาตัน ในประเทศเม็กซิโกภายในเต็มไปด้วยโบราณวัตถุล้ำค่าที่ยังไม่มีผู้ใดแตะต้องมานานกว่า 1,000 ปี

โบราณวัตถุของชาวมายันที่พบภายในถ้ำพิธีกรรมแห่งนี้มีมากกว่า 150 ชิ้น มีตั้งแต่กระถางสำหรับเผาเครื่องหอม, แจกัน, และแผ่นหินสำหรับตกแต่ง ซึ่งสลักเป็นรูปใบหน้าของเทพเจ้าโบราณที่ชาวมายันเคารพนับถือ รวมไปถึงภาพพิธีกรรมและรูปสลักทางศาสนาอื่นๆ

การสำรวจและจดบันทึกวัตถุที่ตรวจพบภายในถ้ำ (ภาพ-Karla Ortega, Great Mayan Aquifer Project.)

ทรัพย์สมบัติโบราณล้ำค่าเหล่านี้บรรจุอยู่ภายในถ้ำเพียง 1 ในจำนวนถ้ำศักดิ์สิทธิ์ 7 ถ้ำ ที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย รู้จักกันในชื่อ “บาลัมกู” หรือ “เทพจากัวร์” ซึ่งซ่อนตัวอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดินของ วิหารบาลัมกูในเมืองโบราณชิเชน อิทซา เมื่อซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองด้วยศิลปวิทยาการมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 โดยตอนที่รุ่งเรืองสุดขีดนั้น เชื่อกันว่าเมืองเก่าแก่แห่งนี้รองรับผู้คนได้หลายล้านคน

การค้นพบครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา โดยมีรายงานการค้นพบเผยแพร่ผ่านเนชันแนล จีโอกราฟิก เมื่อเร็วๆ นี้ หลังจากที่นักโบราณคดีชาวเม็กซิกันชื่อ วิคเตอร์ เซโกเวีย ปินโต เคยค้นพบถ้ำแห่งนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1966 แต่ไม่เคยเข้าไปสำรวจภายใน เพียงแต่ออกคำสั่ง ให้ชาวไร่ในพื้นที่ช่วยกันปิดผนึกถ้ำกลับคืนไว้เหมือนเดิม โดยไม่ได้เปิดเผยถึงเหตุผลใดๆ

Advertisement

เซโกเวียเขียนบันทึกรายงานการค้นพบดังกล่าวไว้หลังจากการค้นพบได้ไม่นาน แต่บันทึกดังกล่าวหายสาบสูญไป และไม่มีใครล่วงรู้ตำแหน่งที่ตั้งของถ้ำพิธีกรรมแห่งนี้อีกเลย จนกระทั่งในอีก 50 ปีต่อมา

สภาพภายในถ้ำพิธีกรรมใต้วิหารบาลัมกูหรือเทพเสือจากัวร์ (ภาพ-Karla Ortega, Great Mayan Aquifer Project.)

ทีมสำรวจที่ตามล่าหาถ้ำพิธีกรรมบูชาบาลัมกู ซึ่งประกอบด้วยนักโบราณคดีจำนวนหนึ่ง ค้นพบด้านนอกของถ้ำที่ถูกผนึกเอาไว้ใหม่ หลังจากงมสำรวจอุโมงค์ที่เลี้ยวลดคดเคี้ยววกวนไปมาเหมือนทางเขาวงกตท่ามกลางความมืดสนิท นานต่อเนื่องกันหลายชั่วโมงต่อครั้ง ต่อเนื่องกันหลายครั้งเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา

กิลเลอร์โม เด อันดา หัวหน้าทีมสำรวจครั้งนี้ ระบุว่า การศึกษาสมบัติโบราณที่ไม่เคยมีใครแตะต้องมานับพันปีภายในถ้ำ จะช่วยให้ทีมสำรวจเข้าใจได้ถึงวัฒนธรรมเกี่ยวกับถ้ำพิธีกรรมเหล่านี้ได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันการศึกษาตัวถ้ำเอง ทั้งในเชิงธรณีวิทยาและในแง่ของจุลชีววิทยา อาจช่วยให้ได้รายละเอียดเกี่ยวกับวัฏจักรของน้ำและบรรยากาศ ซึ่งมีอิทธิพลสูงยิ่งต่อการก่อเกิดและล่มสลายของ ชิเชน อิทซา โดยอาศัยเค้าเงื่อนจากทุกอย่างที่ถูกปิด

Advertisement

ผนึกไว้เป็นเวลานาน รวมทั้งสารอินทรีย์ทั้งหลาย ที่จะช่วยให้เข้าใจถึงพัฒนาการต่างๆ ของเมืองโบราณแห่งนี้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

“บาลัมกูสามารถบอกให้เรารู้ถึงข้อเท็จจริงไม่เพียงแต่ช่วงเวลาในการล่มสลายของอาณาจักรชิเชน อิทซาเท่านั้น แต่ยังอาจบอกเราได้ว่า ชิเชน อิทซา เริ่มต้นก่อเกิดได้อย่างไร” เด อันดาระบุ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image