ที่หนึ่งบนโลกธุรกิจยุคไว-ไฟ

นายสุภัค ลายเลิศ

ดูเหมือนการนั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งต้องต่อกับสายแลน หรือเริ่มต้นหมุนโมเด็มผ่านสายโทรศัพท์เพื่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ตผ่านช่องทางการรับ-ส่งข้อมูลที่ความเร็วระดับกิโลบิตต่อวินาที (kilobit per second) ดูเป็นภาพที่ไกลตัวเราออกไปทุกทีเมื่อเทียบกับวิถีของผู้คนยุคดิจิทัลซึ่งพร้อมท่องโลกออนไลน์ได้ทุกวินาที ด้วยอุปกรณ์ที่พกติดตัวไปได้ทุกที่อย่างโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต อุปกรณ์ไอโอที หรือไอทีส่วนตัว (BYOD) ผ่านเครือข่ายไร้สายอย่างบลูทูธ ไว-ไฟ 4G ที่กำลังกลายเป็น 5G ในอีกไม่ช้า

ไอดีซีบอกกับเราว่า ในปี 2564 เทคโนโลยี 5G รวมถึงอุปกรณ์เชื่อมต่อเพื่อรองรับระบบเครือข่ายไร้สายกำลังพัฒนาตัวเองให้ก้าวข้ามข้อจำกัดของ 4G ทั้งในเรื่องขนาดของแบนด์วิธรับ-ส่งได้เร็วขึ้น และด้วยปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้น แต่กินไฟต่ำลง รวมถึงอาจสามารถรองรับการใช้งานไอโอที (Internet of Things : IoT) ได้ถึง 1 ล้านชิ้นต่อขนาดพื้นที่ 1 ตารางเมตร ซึ่งทำให้ 5G เป็นตัวผลักดันให้เกิดการใช้งานไอโอทีที่มากขึ้นเป็นหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

การคาดการณ์ของไอดีซีคงพอให้เราจินตนาการภาพองค์กรที่ต้องเผชิญวิกฤตปริมาณ และปัญหาที่เกิดจากการใช้งานอุปกรณ์ไอโอทีและอุปกรณ์ไอทีส่วนตัวจากในและนอกองค์กรมากกว่าที่เคยเป็นมา มีองค์กรจำนวนไม่น้อยที่ต้องลงทุนติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สาย และอุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณไว-ไฟ (Wireless Access Point) นอกเหนือจากเครือข่ายแบบใช้สาย กระจายตามจุดต่างๆ ให้พร้อมรับมืออุปกรณ์ไอโอที หรือไอทีส่วนตัว ซึ่งเคลื่อนที่เปลี่ยนทางอยู่ตลอดเวลา การออกแบบเครือข่ายที่ต้องรองรับอุปกรณ์ทั้งเก่าและใหม่ภายใต้ระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน รวมถึงการกำกับการใช้งานที่ต้องคำนึงถึง “การกระจายสัญญาณไว-ไฟได้แรงและเร็วแบบไม่สะดุด และมีความปลอดภัยสูง” เป็นหัวใจสำคัญ

สิ่งหนึ่งที่องค์กรควรรู้คือบริบทของการพัฒนาระบบเครือข่ายได้เปลี่ยนไปแล้ว ในอดีต การสร้างระบบเครือข่ายขึ้นมาสักระบบหนึ่งเราจะพูดถึงเรื่องของ “เราเตอร์ สวิตช์ โมเด็ม หรือสายแลน” ทั้งหมดก็เพื่อให้ “คอมพิวเตอร์คุยกันได้” สามารถส่งหรือแชร์ใช้ข้อมูลหรือแอพพลิเคชั่นเฉพาะการทำงานในองค์กรได้ แต่ปัจจุบัน มนุษย์กลายเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสาร และเครือข่ายไร้สายถูกใช้เป็นช่องทางสำคัญเพื่อเปิดพื้นที่ให้ “คนมาสื่อสารกัน” การพัฒนาระบบเครือข่ายให้ใช้งานได้ครอบคลุม กว้างขวางขึ้น จึงต้องคำนึงถึงองค์ประกอบเพิ่มเติมในเรื่องของ “ผู้ใช้งาน (Users) อุปกรณ์ (Things) แอพพลิเคชั่น (Applications) และตำแหน่งแห่งที่ (Locations)” รวมถึงต้องมีความชาญฉลาดพอในการวิเคราะห์ (Analytics) และต้องมีการทำงานแบบอัตโนมัติ (Automatic) นั่นหมายถึง การพัฒนาระบบเครือข่ายเพื่อการใช้งานในปัจจุบันและอนาคตนอกจากจะเป็นไปเพื่อ “เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานในองค์กร (Business Process)” แต่ยังต้องสามารถตรวจสอบการป้อนกลับข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวผู้ใช้หรือพฤติกรรมของผู้ใช้ เห็นเครื่องมือหรือสิ่งที่พวกเขาใช้ในการสื่อสาร เห็นแอพพลิเคชั่นที่ใช้งาน และระบุพิกัดได้แม่นยำว่ากำลังสื่อสารมาจากที่ไหน ณ ตำแหน่งใด เพื่อนำไปคิด วิเคราะห์ ต่อยอดไปเป็น “บริการทางธุรกิจ (Business Services)” ที่ส่งผลต่อการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน รายได้ หรือสร้างประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจให้กับลูกค้า

Advertisement

ตัวอย่างเช่น ข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าที่ใช้งานโทรศัพท์มือถือ หรือไอโอที ซึ่งเก็บได้จากอุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณไว-ไฟ ขณะเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้า ช่วยให้ฝ่ายขายและการตลาดสามารถนำมาวิเคราะห์ และคัดเลือกกิจกรรมกระตุ้นยอดขาย อาทิ ล่วนลดในการซื้อสินค้า การนำเสนอสินค้าที่จำหน่ายในราคาพิเศษ หรือบริการที่โดนใจป้อนกลับได้ถึงตัวลูกค้าโดยตรง และเกิดขึ้นแบบทันท่วงที (Real time) มากขึ้น รวมถึงเป็นการเตรียมการล่วงหน้าในการนำเสนอแคมเปญการขายที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าไว้สำหรับการมาช้อปปิ้งในครั้งต่อไป การพัฒนาแอพพลิเคชั่นไว้อำนวยความสะดวกในการค้นหาเส้นทาง (Way Finding) ของร้านอาหาร หรือร้านค้าที่โปรดปรานได้อย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เป็นการสูญเสียโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการทันทีที่ลูกค้าเริ่มกิจกรรมเช็กอินขึ้นเฟซบุ๊ก (facebook application) หรือแอพพ์ออนไลน์ (shopping online application) อื่นใด ณ พิกัดเกิดเหตุ หรือกระทั่งแค่การให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไว-ไฟ ชนิดไม่ต้องเพิ่มแอพพลิเคชั่นใดๆ ก็กลายเป็นหนึ่งในจุดขาย หรือเป็นบริการธุรกิจภาคบังคับในสถานให้บริการต่างๆ ไปแล้วไม่ว่าจะเป็นโรงแรม โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า หรือสนามบินทั่วโลก

นอกจากนี้ ความเก่งกาจของอุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณไว-ไฟรุ่นใหม่ๆ ที่สามารถให้บริการแอพพลิเคชั่น หรือแบนด์วิธที่ตอบสนองโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต อุปกรณ์ไอโอที หรือไอทีส่วนตัว โดยไม่ติดว่าจะเป็นเทคโนโลยีแบบไหน หรือระบบปฏิบัติการ (Operating system software : OS) ค่ายใด เท่ากับเป็นการปลดล็อกข้อจำกัดการให้บริการซึ่งเกิดจากความแตกต่างทางเทคโนโลยีออกไปได้ ความสามารถในการระบุพิกัด หรือตำแหน่งที่ตั้งของผู้ใช้ (Location) ที่ช่วยองค์กรในการติดตามพฤติกรรมการใช้สินทรัพย์ด้านข้อมูลขององค์กรจากกลุ่มที่ชอบใช้โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์ไอทีส่วนตัว ซึ่งอาจนำพาความเสี่ยงอื่นใดๆ จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจจากโลกภายนอกเข้ามาสู่เครือข่ายขององค์กรได้ตลอดเวลา เพื่อนำมาทำแผนปรับปรุงระบบความปลอดภัยที่เหมาะสมต่อไป

ปัจจุบัน บริษัทผู้นำการพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายหลายๆ ค่าย อาทิ เอชพีอี อรูบ้า (HPE aruba) ได้เร่งยกระดับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้การบริหารจัดการระบบเครือข่ายมีประสิทธิภาพและเป็นอัตโนมัติยิ่งขึ้น ซึ่งขอยกมาพอสังเขป อาทิ การพัฒนาอุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณเครือข่ายไร้สายจากมาตรฐาน 802.11ac ไปเป็น 802.11ax หรือ “ไว-ไฟ 6” ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิมถึง 4 เท่า และรองรับการทำงานได้ทั้งคลื่นความถี่ 2.4 MHz และ 5 MHz ฟังก์ชั่นอย่าง OFDMA (Orthogonal Frequency Division Multiple Access) ในการจัดสรรปันส่วนแบนด์วิธ หรือกำหนดช่องทางจราจรที่เหมาะกับพฤติกรรมลูกค้าได้หลากหลาย ทั้งการรับ-ส่งข้อมูลหน่วยย่อยๆ (Small Data Packets) เช่น แชตไลน์ สติ๊กเกอร์ไลน์ การส่งสัญญาณเซ็นเซอร์จากอุปกรณ์ไอโอที ซึ่งสามารถวิ่งบนความเร็วและแบนด์วิธที่ไม่สูงมากนัก เพื่อปันส่วนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าไปใช้กับการรับ-ส่งข้อมูลหน่วยที่ใหญ่ขึ้น เช่น ภาพนิ่ง คลิปเสียง วิดีโอเกมส์ โดยยังคงประสิทธิภาพในการให้บริการอุปกรณ์ได้หลายประเภท หรือได้มากถึง 8 เครื่อง ในเวลาเดียวกัน

Advertisement

การพัฒนาซอฟต์แวร์เอสดีเอ็น (Software Defined Network – SDN) ที่เข้ามาช่วยจัดการการทำงานของเครือข่ายเพื่อรองรับการใช้งานอุปกรณ์ไอโอที หรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้โดยอัตโนมัติจากจุดเดียว แอพพลิเคชั่นที่ว่าก็อย่างเช่น วีอาร์ การส่งภาพสามมิติ ซึ่งเป็นการย่นระยะเวลาในการจัดการกับปัญหาให้เร็วขึ้น การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเชื่อมต่อเครือข่ายไว-ไฟ WPA 7 โดยการเข้ารหัส หรือการพัฒนาอุปกรณ์สวิตช์แบบเปิด เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการใช้งานของอุปกรณ์ต่างระบบปฏิบัติการ ต่างเทคโนโลยี หรือแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อในเครือข่ายให้ทำงานร่วมกันแบบไร้รอยต่อ เป็นต้น

เมื่อมาตรฐานทางเทคโนโลยีเครือข่ายเปลี่ยนแปลงไป ลูกค้ามีความต้องการเข้าถึงข้อมูลผ่านช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และต่างก็มีความคาดหวังในการได้รับบริการที่มีคุณภาพ ตอบสนองได้รวดเร็ว และมีความปลอดภัยสูง การออกแบบระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ ณ ปัจจุบันและในอนาคต จึงไม่ใช่การปลดล็อกในเรื่องของความเร็วแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องพร้อมสนับสนุนการเข้าถึงการใช้งานที่ปลอดภัยให้ได้ในทุกกรณี ตลอดจนสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาบริการทางธุรกิจที่แตกต่างแต่โดนใจ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สร้างทั้งโอกาสและความได้เปรียบทางการแข่งขันให้องค์กรสามารถยืนเหนือคู่แข่งทางธุรกิจ และเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าไปอีกนาน

บทความโดย นายสุภัค ลายเลิศ กรรมการอำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image