“แคสเปอร์สกี้” เผยอาชญากรไซเบอร์ ใช้ประโยชน์ช่วงโควิด-19 ในการโจมตี

“แคสเปอร์สกี้” เผยอาชญากรไซเบอร์ ใช้ประโยชน์ช่วงโควิด-19 ในการโจมตี

ในการประชุม Kaspersky Cybersecurity Weekend ครั้งที่ 6 ได้มีการเผยผลสำรวจผลกระทบของกิจกรรมโซเชียลมีเดียต่อการรับรู้อัตลักษณ์ส่วนบุคคลและแบรนด์ของบริษัท

โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ถือเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์สำหรับโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้ออนไลน์มากกว่าครึ่งหนึ่งทั่วโลกและเป็นศูนย์กลางของการเติบโตของเฟซบุ๊ก ซึ่งตัวเลขล่าสุดจาก Statista แสดงให้เห็นว่า ในปี 2020 เอเชียตะวันออกมีจำนวนผู้ใช้เครือข่ายเสมือนมากที่สุดที่มากกว่า 1,000 ล้านคน ส่วนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้มีผู้ใช้มากกว่า 400 ล้านคน

ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ของ Covid-19 มีการนำมาตรการล็อกดาวน์รูปแบบต่างๆ มาใช้ การผ่อนผันมาตรการ และออกมาตรการใหม่ในภูมิภาคทำให้อินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียมีช่องโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อน การใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการใช้งานแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่การโพสต์รูปภาพ การส่งข้อความ จนถึงการเป็นตลาดออนไลน์ที่กำลังขยายตัว ทำให้จำเป็นต้องตรวจสอบพรมแดนทางเศรษฐกิจใหม่นี้

ด้วยธีม “Secure Your Digital Reputation” แคสเปอร์สกี้ บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับโลก มีเป้าหมายที่จะเจาะลึกว่าข้อมูลแบ่งปันทางออนไลน์จะกลายเป็นชื่อเสียงของคนคนหนึ่งได้อย่างไร และจะส่งผลกระทบอย่างมากในโลกแห่งความเป็นจริงนี้ได้อย่างไร

Advertisement

การประชุมสำหรับสื่อมวลชนประจำปีซึ่งจัดขึ้นทางออนไลน์เป็นครั้งแรกได้นำเสนอเนื้อหาผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์และดีไวซ์ต่างๆ มีนักวิจัยชั้นนำของแคสเปอร์สกี้และผู้เชี่ยวชาญในแวดวงความปลอดภัยไซเบอร์เข้าร่วมงาน ตลอดจนนักข่าวจาก 12 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

นายวิทาลี คัมลัก ผู้อำนวยการทีมวิเคราะห์และวิจัยของแคสเปอร์สกี้ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งของการระบาดครั้งนี้คือการบังคับให้ทุกคนตั้งแต่บุคคลทั่วไป ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมเป็นออนไลน์เป็นจำนวนมาก การพึ่งพาอาศัยกันนี้เกิดจากความต้องการของเราทุกคนในการรักษาสุขภาพร่างกาย และยังผลักดันให้เราเพิ่มการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเชื่อมต่อกับคนที่เรารักที่อยู่ห่างไกล เพื่อสนับสนุนแนวทางของชุมชนเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับตัวเอง หรือเพื่อรับผลิตภัณฑ์และบริการที่ต้องการ สิ่งที่ควบคู่ไปกับกระแสออนไลน์นี้คือการเปิดประตูที่กว้างขึ้นแก่อาชญากรไซเบอร์”

นายวิทาลี คัมลัก

นอกเหนือจากการพึ่งพาอินเตอร์เน็ตที่มากขึ้นกว่าเดิม สถานการณ์การแพร่ระบาดยังเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาชญากรไซเบอร์ นั่นคือ “เบ็ด” ที่สามารถทำให้ผู้ใช้ที่สนใจคลิกอีเมล์ฟิชชิ่ง แชร์ลิงก์ที่เป็นอันตราย ส่งต่อภาพที่ติดไวรัสและอื่นๆ อีกมากมาย โดยเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทหลายแห่งย้ายพนักงานจากที่ทำงานในสำนักงานไปทำงานจากที่บ้าน และอาชญากรไซเบอร์ก็พบวิธีใหม่ในการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์

Advertisement

โดยพบว่ามีการโจมตีอย่างรุนแรงบนเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลในเดือนเมษายน 2020 เพิ่มขึ้น 23%, ไฟล์ที่เป็นอันตรายที่ติดตั้งบนเว็บไซต์เพิ่มขึ้น 8% ในเดือนเมษายน และมีการโจมตีเครือข่ายและอีเมล์ฟิชชิ่งเพิ่มขึ้น

นายวิทาลีกล่าวเสริมว่า “จากการตรวจจับและวิเคราะห์ตัวอย่างมัลแวร์ที่ไม่ซ้ำกัน 350,000 ตัวอย่างต่อวันก่อนโควิด-19 ปัจจุบันเราพบตัวอย่างใหม่ทั้งหมด 428,000 ตัวอย่างต่อช่วงเวลา 24 ชั่วโมง อีกทั้งเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การปรับใช้อีคอมเมิร์ซและกระเป๋าออนไลน์ (e-wallet) การตั้งค่าการทำงานระยะไกลอย่างต่อเนื่อง การเรียนรู้ออนไลน์ และความเครียดทางอารมณ์และจิตใจ ส่งผลให้สถานการณ์ภาพรวมของภัยคุกคามในปี 2020 ดูเหมือนจะเป็นที่ชื่นชอบของอาชญากรไซเบอร์ อย่างไรก็ตาม เราไม่อาจหมดหวังต่อความปลอดภัยออนไลน์ เพราะเราเป็นผู้ควบคุมกิจกรรมออนไลน์ของเราเอง การเฝ้าระวังที่ดีขึ้นเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวและทรัพย์สินทางดิจิทัลของเราเป็นสิ่งที่จำเป็น”

ในการประชุมนี้มีผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วยอีกท่านคือ นางสาวราฟิซาห์ อัมราน ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารการตลาดและการประชาสัมพันธ์แบบบูรณาการและผู้ชี้แนะด้านการสื่อสารที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงการให้คำปรึกษาด้านเภสัชกรรม การดูแลสุขภาพและโภชนาการ สินค้าอุปโภคบริโภค การเงิน การบันเทิง การเผยแพร่ออกอากาศ การท่องเที่ยว การบินและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและการสื่อสารของบริษัทพราซารานา ประเทศมาเลเซีย นางสาวราฟิซาห์ได้พูดคุยเกี่ยวกับการจัดการชื่อเสียงดิจิทัลของแบรนด์ และการมอบประสบการณ์ลูกค้าออนไลน์ที่เหมาะสมที่สุด เพื่อปลูกฝังความชอบของลูกค้าและสร้างความพอใจ

นางสาวราฟิซาห์กล่าวว่า “จากประสบการณ์ของดิฉัน ชื่อเสียงด้านดิจิทัลของบริษัทเป็นสิ่งสำคัญ ชุมชนที่เชื่อมต่อแบบไฮเปอร์คอนเน็กต์ของเราช่วยให้ผู้บริโภคสามารถแสดงความคิดเห็นในเชิงสนับสนุนหรือต่อต้านผลิตภัณฑ์และบริการได้ง่ายขึ้น สิ่งนี้บังคับให้เรา นักการตลาดและบริษัทต่างๆ ต้องมุ่งเน้นไปที่สิ่งอื่นนอกเหนือจากการปิดการขาย การทำแคมเปญ นั่นคือการรู้จักผู้ใช้ การให้ประสบการณ์ของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจของเรา สิ่งสำคัญที่สุดคือในยุคของการโพสต์และการแพร่กระจายข่าวสารอย่างรวดเร็วนี้ สิ่งสำคัญคือแบรนด์ต้องซื่อสัตย์และเป็นผู้ฟังที่ยอดเยี่ยม”

จากการสังเกตของนางสาวราฟิซาห์ได้แบ่งปันประสบการณ์ในชีวิตจริงกับผู้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งที่ดีและไม่ดี และวิธีที่บริษัทพราซารานาใช้เครื่องมือดิจิทัลที่หลากหลายและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่จำนวนมากเพื่อสร้างกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดดิจิทัลที่จะสื่อสารโดยตรงกับลูกค้า นอกจากนี้เธอยังได้กล่าวถึงการจัดการชื่อเสียงและการจัดการวิกฤตในวัฒนธรรมความพึงพอใจในปัจจุบันอีกด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image