เอปสันฟันธง 3 ปี อิงค์เจ็ทสร้างมาตรฐานใหม่การพิมพ์ในออฟฟิศ พร้อมประกาศเดินหน้ารุกตลาดธุรกิจ

เอปสันฟันธงอีก 3 ปี อิงค์เจ็ทพรินเตอร์ครองสัดส่วนเกิน 3 ใน 4 พรินเตอร์ สำหรับองค์กรธุรกิจ พลิกขึ้นเป็นมาตรฐานใหม่ของการพิมพ์เพื่อธุรกิจแทนที่เลเซอร์พรินเตอร์ พร้อมประกาศ เดินหน้ารุกตลาดองค์กรธุรกิจ รักษาระดับการเติบโตต่อเนื่อง

นายโตชิมิตสุ ทานากะ กรรมการผู้จัดการ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) บริษัท เอปสัน สิงคโปร์ จำกัด เปิดเผยว่า “ทุกธุรกิจของเอปสันสามารถสะท้อนถึงความใส่ใจในทุกเรื่องรายละเอียดและนวัตกรรม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เอปสันภูมิใจอย่างมาก จุดแข็งที่ไม่ซ้ำใครของเอปสันคือโมเดลธุรกิจแบบบูรณาการในแนวดิ่ง ที่ครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอน การออกแบบเทคโนโลยีหลัก การพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงการผลิตสินค้าด้วยตัวเอง แนวทางดังกล่าวช่วยให้ บริษัทฯ ได้รับรู้ถึงความคิดเห็นของลูกค้า ซึ่งยิ่งทำให้เรามองเห็นถึงรายละเอียดมากยิ่งขึ้นสำหรับการพัฒนาสินค้า การวางแผนและให้บริการลูกค้าต่อไป”

“ในปีงบประมาณ 2560 บริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะมีการใช้งบประมาณด้านวิจัยและพัฒนาราว 5.4 หมื่นล้านเยน คิดเป็น 5.2% ของรายได้ประมาณการตลอดทั้งปี หรือเท่ากับว่าทุกๆ วันเอปสันได้ลงทุนทำวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมด้วยงบประมาณถึง 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ความพยายามดังกล่าวยังส่งผลให้เอปสันได้รับเลือกจาก Clarivate Analytics ให้ติดหนึ่งในร้อยผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมระดับโลกของปี 2560 และเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน”

“เอปสันได้กำหนดวิสัยทัศน์ที่เรียกว่า Epson 25 โดยตั้งเป้าให้ปี 2025 (พ.ศ.2568) เป็นปีที่เอปสันจะสามารถสร้าง Connected Age หรือยุคแห่งการเชื่อมโยงคน สิ่งของ และข้อมูลเข้าด้วยกัน ผ่าน 4 เทคโนโลยีของเอปสันที่ทรง ประสิทธิภาพ แม่นยำ และมีขนาดกระทัดรัด ได้แก่ พรินเตอร์ อุปกรณ์สื่อสารทางภาพ อุปกรณ์สวมใส่ติดตัว และ หุ่นยนต์ ซึ่งในปี 2560 ที่ผ่านมา ทั้ง 4 กลุ่มเทคโนโลยีได้ช่วยกันขับเคลื่อนธุรกิจของเอปสันให้เติบโตได้ด้วยดี บริษัทฯ คาดการณ์ว่าธุรกิจโดยรวมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 9% ในปีงบประมาณ 2560 นี้ และจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในอีก 3 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 7%” นายทานากะ กล่าว

Advertisement

ด้านนายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้จัดการทั่วไปด้านการขาย ผลิตภัณฑ์ และการตลาด บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี 2017 ว่า “บริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตไว้ได้ตามเป้าที่ 7% โดยแบ่งเป็นตลาดประเทศไทย เอปสันทำรายได้เติบโต 6% และตลาดต่างประเทศภายใต้การดูแลของเอปสัน ประเทศไทย ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม และปากีสถาน รวมมีผลประกอบการเพิ่มขึ้น 14%”

“สำหรับประเทศไทย กลุ่มผลิตภัณฑ์อิงค์แท็งค์พรินเตอร์สามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นได้ 7% และยังรักษาตำแหน่ง ผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 46% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมจากการใช้อิงค์เจ็ทพรินเตอร์แบบตลับหมึกและเลเซอร์พรินเตอร์ขาวดำรุ่นเล็กมาใช้อิงค์แท็งค์พรินเตอร์แทน เพราะต้องการประหยัดต้นทุนการพิมพ์ ต่อแผ่น ต้องการพิมพ์สี และพิมพ์ในปริมาณที่สูงขึ้น โดยเอปสันเป็นแบรนด์ Top of Mind ของผู้บริโภค เนื่องจากเป็นผู้ผลิตพรินเตอร์รายแรกที่ออกจำหน่ายอิงค์แท็งค์พรินเตอร์ตั้งแต่ปี 2553 และเป็นผู้นำตลาดมาโดยตลอด ทั้งยังมีรุ่นผลิตภัณฑ์มากกว่าคู่แข่ง ได้รับการยอมรับในเรื่องประสิทธิภาพและความทนทาน”

“ในส่วนของโปรเจคเตอร์ มียอดขายเติบโตขึ้น 6% และยังเป็นเจ้าตลาดด้วยส่วนแบ่งตลาดรวมถึง 46% โดยมี ปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ สามารถจำหน่ายเครื่องระดับกลางและระดับบนได้มากขึ้น บวกกับมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่และทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์พรินเตอร์ระดับมืออาชีพสามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้น 9% เนื่องจากธุรกิจโฟโต้แล็บมีการขยายตัวอย่างมากและนิยมใช้ระบบดิจิทัลกันมากขึ้น เพื่อรองรับทุก ประเภทงานพิมพ์ได้อย่างครบวงจร ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 650 แล็บทั่วประเทศใช้พรินเตอร์ของเอปสันรวมมากกว่า 1,000 เครื่อง”

“สำหรับตลาดต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์ที่เติบโตสูงสุดคืออิงค์แท็งค์พรินเตอร์ที่ขยายตัวถึง 70% เนื่องจากตลาดเริ่มให้การยอมรับข้อได้เปรียบของอิงค์แท็งค์พรินเตอร์มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ตามมาด้วยโปรเจคเตอร์ ที่เติบโตขึ้น 43% โดยมีตลาดสถาบันการศึกษาและองค์กรธุรกิจเป็นตลาดสำคัญที่เริ่มนำเครื่องระดับกลางและ ระดับบนไปใช้มากขึ้น นอกจากนี้ เอปสันยังเดินหน้าสร้างตลาดใหม่อย่างต่อเนื่องผ่านเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแกร่ง” นายยรรยงกล่าว

สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจในปี 2561 เอปสันตั้งเป้าเติบโตรวม 7% โดยแบ่งเป็นตลาดประเทศไทยที่ 5% และ ตลาดต่างประเทศ 15% โดยธุรกิจหลักที่บริษัทฯ โฟกัสประกอบด้วยอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ความเร็วสูงสำหรับองค์กร ขนาดใหญ่ เลเซอร์โปรเจคเตอร์ และหุ่นยนต์แขนกล

นายยรรยง กล่าวว่า “หากพิจารณาจากจำนวนพรินเตอร์ทั้งหมดที่จำหน่ายในปี 2560 กว่า 1.3 ล้านเครื่อง พบว่า 78% อยู่ในองค์กรธุรกิจ และ 22% ในตลาดคอนซูเมอร์ ซึ่งปัจจุบันทั้งสองตลาด อิงค์เจ็ทพรินเตอร์ครองส่วนแบ่งส่วนใหญ่อยู่ โดยปริมาณความต้องการใช้เลเซอร์พรินเตอร์ในตลาดธุรกิจลดลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับยอดขาย ของอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ที่เพิ่มสูงขึ้น จนเอปสันเชื่อว่าภายใน 3 ปีจากนี้ หรือปี 2563 อิงค์เจ็ทพรินเตอร์จะขึ้นมาเป็น มาตรฐานการพิมพ์ใหม่ขององค์กรธุรกิจอย่างแน่นอน ด้วยส่วนแบ่งมากกว่า 75% หรือ 3 ใน 4 ของพรินเตอร์ ทั้งหมดในตลาดองค์กรธุรกิจ”

“เอปสันได้พลิกโฉมวงการพรินเตอร์ครั้งแรกในปี 2553 หลังจากเปิดตัวอิงค์แท็งค์พรินเตอร์ รุ่น L-Series ต่อมาใน ปี 2558 เอปสันได้เปิดตัวพรินเตอร์ระบบชุดหมึกถอดเปลี่ยนได้ RIP (Replaceable Ink Pack) และล่าสุด ในปี 2560 ที่ได้เปิดตัวอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ความเร็วสูงสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ รุ่น WorkForce ที่ใช้หัวพิมพ์ไมโครปิเอโซ รุ่นใหม่ PrecisionCore Line Head ที่มีประสิทธิภาพการทำงานและให้คุณภาพงานทัดเทียมกับเลเซอร์พรินเตอร์ ซึ่งความต่อเนื่องในการออกอิงค์แท็งค์พรินเตอร์มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ผู้บริโภคได้เรียนรู้ คุ้นเคย และเปลี่ยน ทัศนคติเกี่ยวกับข้อด้อยต่างๆ ของอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ในอดีตไปจนหมด และเอปสันจะยังคงออกผลิตภัณฑ์อิงค์แท็งค์พรินเตอร์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบรับความต้องการด้านการพิมพ์ในธุรกิจทุกขนาด”

“ในกลุ่มผลิตภัณฑ์โปรเจคเตอร์ ไฮไลท์ในปี 2561 จะอยู่ที่เลเซอร์โปรเจคเตอร์ที่มีทั้งความทนทานใช้งานได้นาน ถึง 20,000 ชั่วโมง ทั้งยังใช้ LCD Panel และ Phosphor Wheel แบบ Inorganic ที่ทนความร้อนสูงได้นาน ทำให้ สามารถเปิดใช้งานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยยังฉายภาพที่สวยสดใส คุณภาพไม่ตก มีประสิทธิภาพในการฉายภาพ ระดับ 4K ด้วย Contrast Ratio หรือความต่างระหว่างสีดำและสีขาวสูง จึงสามารถแสดงภาพที่มีความลึกและ รายละเอียดภาพ รวมถึงแสดงภาพแบบ 3 มิติได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังมีความยืดหยุ่นสูง สามารถติดตั้งได้แบบ 360 องศา ไม่ว่าจะเอียงไปมุมไหน ความสว่างของภาพก็ไม่ลดลง ฉายบนพื้นผิวหลายรูปแบบ เช่น ฉากโค้งเข้ามุม และยังเชื่อมการฉายภาพหลายเครื่องแบบไร้รอยต่อ หรือ Edge-blending และมีคุณสมบัติ Quick Corner และ Point Correction ที่ปรับภาพฉายให้ลงตัวตามสัดส่วนของฉากรับภาพได้อย่างแม่นยำ” นายยรรยง กล่าว

“เลเซอร์โปรเจคเตอร์กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และกำลังเพิ่มจำนวนรุ่นจนครอบคลุมเครื่อง
ในความสว่างระดับกลางที่ 5,000 ลูเมนท์ จากเดิมที่มีอยู่แต่เครื่องระดับบน สำหรับในปีนี้ เอปสันมีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างน้อย 5 รุ่น ในทุกช่วงระดับความสว่างทั้ง 2,000 ลูเมนท์ สำหรับลูกค้าในธุรกิจร้านค้าขนาดเล็ก หรือใช้ตามบ้าน เครื่อง 4,000 – 6,000 ลูเมนท์ สำหรับสถาบันศึกษาและองค์กรธุรกิจ และ 6,000 ลูเมนท์ขึ้นไป เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่และต้องการภาพขนาดใหญ่ที่มีความสว่างและความละเอียดของภาพสูง เช่น ห้องจัดงานเลี้ยง หอประชุม โรงละคร พิพิธภัณฑ์ หรืองานอีเวนท์เอาท์ดอร์”

“สุดท้ายคือกลุ่มหุ่นยนต์แขนกล นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล ทำให้หลายอุตสาหกรรมตื่นตัวในการนำ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในสายการผลิต เพื่อเพิ่มผลิตผล ปรับปรุงคุณภาพผลผลิต ลดต้นทุน และ พัฒนาศักยภาพการทำงาน มีการคาดการณ์ว่าภาคการผลิตของประเทศไทยราว 50% จะเริ่มใช้งานหุ่นยนต์และ ระบบอัตโนมัติภายใน 1 – 3 ปี ขณะที่ธุรกิจขนาดกลางจะพร้อมในอีก 3 – 5 ปี เอปสันได้เริ่มนำหุ่นยนต์แขนกล SCARA Robot และ 6-Axis Robot เข้ามาทำตลาด ซึ่งเหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วและความแม่นยำสูง ใช้งานในพื้นที่จำกัดได้ดี เพราะมีขนาดกระทัดรัด โดยเฉพาะ 6-Axis Robot เป็นแขนกล 6 แกนหมุนอิสระ ทำงาน ได้ใกล้เคียงกับแขนคน มีความยืดหยุ่น ทั้งยังใช้ระบบควบคุมการเคลื่อนไหว ช่วยลดความสั่นสะเทือนและเข้าถึง ตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว มีระบบ Vision ช่วยเพิ่มความสามารถในการรับรู้และแยกแยะประเภทวัตถุ ตรวจสอบ คุณภาพและรับรู้ตำแหน่งวัตถุ หุ่นยนต์จะหยิบจับหรือประกอบชิ้นงานได้ถูกต้องยิ่งขึ้น โดยตลาดเป้าหมายของ เอปสันอยู่ที่กลุ่มโรงงานผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์”

นายยรรยงกล่าวถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจสำหรับปี 2561 ว่า บริษัทฯ ยังคงยึดแนวทางในการทำธุรกิจที่เน้นเจาะกลุ่ม ลูกค้าองค์กรธุรกิจเป็นหลัก บริษัทฯ พร้อมนำเสนอโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ขนาดเอสเอ็มอีไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ โดยกำหนดกลยุทธ์ไว้ 4 ด้าน ได้แก่ Cusotmer Solutions คือ การรวมเทคโนโลยีของเอปสันเข้าด้วยกันและออกแบบเป็นโซลูชั่นเพื่อรองรับธุรกิจของลูกค้าแต่ละรายโดยเฉพาะ โดยพิจารณาจากประเภทธุรกิจ กระบวนการ และขั้นตอนการทำงาน รวมถึงเป้าประสงค์ทางธุรกิจของลูกค้า เพื่อให้โซลูชั่นของเอปสันสามารถสนับสนุนการทำงานได้อย่างลงตัว ไม่มีสะดุด กลยุทธ์ที่สองคือ Customer Values บริษัทฯ พิสูจน์ให้ลูกค้าได้เห็นถึงคุณค่าทุกด้านที่ลูกค้าจะได้รับเมื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของเอปสัน อาทิ คุณค่าด้านคุณภาพ ความคุ้มค่าในการลงทุน ความน่าเชื่อถือ หรือการประหยัดพลังงาน”

“กลยุทธ์ที่สามคือ Convenience Channel ได้แก่การขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุม ตลาดเป้าหมาย รวมไปถึงช่องทางจำหน่ายเฉพาะทางสำหรับผลิตภัณฑ์บางประเภทอย่าง เช่น แว่นตาอัจฉริยะ และหุ่นยนต์แขนกล กลยุทธ์สุดท้ายคือ Communications กลยุทธ์ด้านการสื่อสารที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจใน อุตสาหกรรมสามารถจดจำแบรนด์และคุณค่าด้านต่างๆ ผ่านสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมการตลาด”

นอกจากนี้ เอปสันทั่วภูมิภาคเอเชียยังได้ออกแคมเปญสื่อสารการตลาด It’s In The Details ขึ้นมา เพื่อสอดรับการ ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ Epson 25 โดยนายยรรยงได้กล่าวถึงแคมเปญนี้ว่า “เอปสันต้องการตอกย้ำความ มั่นใจให้กับลูกค้าองค์กรธุรกิจว่าผลิตภัณฑ์ของเอปสันมีประสิทธิภาพ และดีพร้อมในการเชื่อมโยงผู้ใช้เทคโนโลยี และข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกัน เอปสันออกแบบ พัฒนา และผลิตทุกชิ้นส่วนโดยใส่ใจในทุกรายละเอียด ผลิตภัณฑ์ ของเอปสันจึงสามารถทำงานให้กับองค์กรของลูกค้าได้อย่างดีที่สุด ซึ่งภายใต้แคมเปญนี้ เอปสันได้ทำ Brand Activation ถ่ายทอดเรื่องราวของรายละเอียดในเทคโนโลยีหลักของบริษัทฯ เช่น PrecisionCore Line Head หรือ 3LCD Laser Light Source ผ่านสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงกิจกรรมการตลาดต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าได้ สัมผัสถึงความคุ้มค่าเมื่อเลือกลงทุนกับเอปสัน”

สำหรับงานด้านการบริการ นายอนันต์พล นนทพันธุ์ ผู้จัดการทั่วไปด้านการบริการและบริหารองค์กร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “เอปสันมีการพัฒนาระบบการให้บริการลูกค้าอยู่ตลอดเวลา เพื่อยกระดับ ความพึงพอใจของลูกค้า โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้มีการนำระบบ CRM แบบบูรณาการ หรือ Service CRM Integrate System ซึ่งประกอบด้วย Call Center Management ที่นอกจากจะตอบคำถาม ให้คำแนะนำ และ
รับเรื่องจากลูกค้าแล้ว ยังรวบรวมข้อมูลคำถามและความสนใจด้านต่างๆ ของลูกค้าไว้ เพื่อนำมาวิเคราะห์เป็นความรู้ใน ระบบ Integrated Knowledge Management โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังระบบต่างๆ เพื่อใช้กำหนดรูปแบบงานบริการด้านต่างๆ ให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละประเภท ทั้งด้านการรับประกันและการเคลม
การบริการ ซ่อมแซม รวมถึงการตรวจซ่อมหน้างาน”

“บริษัทฯ ยังเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ณ จุดสัมผัสบริการจุดแรก (First Touch Point Services) โดยเอปสัน จะมีทีมช่างเทคนิคที่พร้อมจะเข้าระบบ Service CRM Mobile ทันที เพื่อทำการวิเคราะห์ วินิจฉัยอาการเครื่อง แบบเรียลไทม์จากระยะไกล ไปพร้อมกับการตรวจสอบเครื่องหน้างานของช่างจากศูนย์บริการ ทั้ง 147 แห่งทั่วประเทศ ระบบนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าจะได้รับการแก้ปัญหาที่ตรงจุด หลีกเลี่ยงการเสียค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อน ประหยัดเวลา ทั้งยังสามารถทราบถึงการดูแลในลำดับต่อไป หรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ สำหรับผลิตภัณฑ์ธุรกิจทุกประเภท ทั้งพรินเตอร์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม โปรเจคเตอร์ พรินเตอร์ดอทเมทริกซ์ พรินเตอร์ใบเสร็จ อิงค์เจ็ทพรินเตอร์รุ่น WorkForce เอปสันยังได้จัดเตรียมชิ้นส่วนอะไหล่และเครื่องสำรอง พร้อมที่จะส่งไปให้บริการทันที ในกรณีที่เครื่องลูกค้าต้องใช้เวลาซ่อมนานกว่า 3 วัน ทั้งยังมีโปรแกรมขยายระยะประกัน สินค้าหรือ Cover Plus ที่ช่วยให้ลูกค้าอุ่นใจยิ่งขึ้นจากการรับประกันของเอปสัน”

“วิสัยทัศน์ Epson 25 ที่โฟกัสยังองค์กรธุรกิจที่เป็นตลาดมูลค่าสูง เป็นกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานผลิตภัณฑ์เอปสันอย่าง เต็มประสิทธิภาพ และใช้ในปริมาณมาก ทำให้บริการหลังการขายเป็นสิ่งที่ลูกค้ากลุ่มนี้ให้ความสำคัญอย่างมาก เอปสันมีโปรแกรมพัฒนาทักษะวิศวกรของบริษัทฯ และของพาร์ทเนอร์อย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ทำให้ปัจจุบัน เอปสันมีทีมช่างที่มีความสามารถสูง รู้จักและเข้าใจเทคโนโลยีของเอปสันเป็นอย่างดีกระจายอยู่ทั่วประเทศ บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าลูกค้าองค์กรที่เลือกลงทุนกับเอปสันไม่เพียงแต่จะสามารถไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของเอปสัน แต่จะพอใจกับบริการที่ได้รับจากเราอีกด้วย” นายอนันต์พล กล่าวทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image