“พลังงานมืด-พหุจักรวาล” กับการค้นหา “มนุษย์ต่างดาว”

(ภาพ-Pixabay)

เมื่อเร็วๆ นี้ มีงานวิจัยทางฟิสิกส์ใหม่ 2 ชิ้น ปรากฏในวารสารวิชาการ เจอร์นัล มันธ์ลีย์ โนทิเซส ของราชสมาคมดาราศาสตร์ ในประเทศอังกฤษ โดยทีมวิจัยนานาชาติจากอังกฤษ, ออสเตรเลียและเนเธอร์แลนด์ ซึ่งนำโดย ปาสคาล เอลาฮี จากมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น ออสเตรเลีย ที่แสดงให้เห็นว่า สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในต่างดาว หรือที่เรามักเรียกกันว่า “มนุษย์ต่างดาว” นั้น อาจดำรงอยู่ได้ใน “จักรวาลคู่ขนาน” ภายใต้ทฤษฎี “พหุจักรวาล” หรือ “มัลติเวิร์ส” นั่นเอง

แนวความคิดเรื่องพหุจักรวาลนั้นมีมานานแล้ว ตามทฤษฎีดังกล่าวระบุว่า จักรวาลนี้ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่มีจักรวาลอีกเป็นจำนวนมาก หรืออาจจะเป็นอสงไขย (มากจนนับไม่ถ้วน) ดำรงอยู่ควบคู่กันไปด้วย อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า หากจักรวาลที่ดำรงอยู่เป็นคู่ขนานกับจักรวาลของเราในเวลานี้มีอยู่จริง จักรวาลเหล่านั้นก็จำเป็นต้องดำเนินไปตามข้อกำหนดที่เข้มงวดและจำกัดสูงสุด เพื่อให้จักรวาลเหล่านั้นสามารถก่อกำเนิดดาวฤกษ์, กาแล็กซี และดาวเคราะห์ ที่เอื้อต่อการมีสิ่งมีชีวิต เหมือนอย่างเช่นที่เราได้เห็นกันอยู่ในจักรวาลของเรานี้ได้

ทีมวิจัยใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์ขนาดมหึมา ในการสร้างจักรวาลใหม่ขึ้นโดยใช้เงื่อนไขตั้งต้นแตกต่างกันหลายอย่าง และพบว่า เงื่อนไขของการมีชีวิตนั้นไม่ได้จำกัดแคบอย่างที่เคยคิดกันก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีแรงกระทำของพลังงานลึกลับที่ถูกเรียกว่า “ดาร์ค เอเนอร์ยี” หรือ “พลังงานมืด”

“พลังงานมืด” เป็นแรงลึกลับ มองไม่เห็น ซึ่งคิดกันว่า “มีอยู่จริง” ในส่วนที่เป็นที่ว่างในจักรวาลของเรา สามารถคำนึงในแง่รูปธรรมได้เมื่อเทียบเคียงกับแรงโน้มถ่วง (กราฟฟิตี้) โดยที่แรงโน้มถ่วงดึงดูดสรรพสิ่งเข้าหากัน พลังงานมืดกลับเป็นแรงที่กระทำให้เกิดลักษณะตรงกันข้าม คือผลักสิ่งต่างๆ ให้ออกห่างออกจากกัน และมีอานุภาพที่เหนือกว่าแรงโน้มถ่วงมาก เพราะทุกวันนี้ จักรวาลของเรากำลังขยายตัวออกไปอยู่ตลอดเวลา

Advertisement

ด้วยพลังของพลังงานมืดดังกล่าว นอกเหนือจากนั้น การขยายตัวของจักรวาลยังเกิดขึ้นในระดับความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ยิ่งช่องว่างในห้วงอวกาศเพิ่มมากขึ้นเท่าใด พลังงานมืดก็จะยิ่งเติมเต็มได้มากขึ้นเท่านั้น

พลังงานมืด ไม่ใช่สสารมืด ซึ่งเป็นรูปแบบของสสารที่มองไม่เห็นแต่เชื่อกันว่ามีอยู่มากมายเช่นเดียวกันและเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดของแรงโน้มถ่วงขึ้นในห้วงอวกาศ

Advertisement

นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ชัดว่าอะไรคือพลังงานมืด บางคนคิดว่ามันคือคุณสมบัติที่เป็นเนื้อแท้ของอวกาศ ซึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เรียกว่า “คอสโมโลจิคอล คอนสแตนท์” บางคนเชื่อว่ามันเป็นแรงพื้นฐานชนิดหนึ่ง เรียกว่า “ควินเทสเซนซ์” ซึ่งมีหลักเกณฑ์การเคลื่อนไหวเฉพาะตัว และมีนักวิทยาศาสตร์อยู่บ้างที่ปฏิเสธการดำรงอยู่ของมัน อย่างไรก็ตาม จากประมาณการในเวลานี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าพลังงานมืด เป็นรูปแบบของพลังงานที่มีสัดส่วนมากที่สุด คิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ ของพลังงานที่มีอยู่ทั้งหมด

“พลังงานมืด” หากอยู่ในพิสัยที่ถูกต้อง จะส่งผลให้เกิดการขยายตัวของดาราจักรและก่อให้เกิดจุดซึ่งเหมาะสมต่อการเกิดสิ่งมีชีวิต หากมีน้อยเกินไป จะทำให้กาแล็กซียุบตัวสู่ศูนย์กลาง หากมีมากเกินไปทุกอย่างในจักรวาลจะขยายเร็วเกินไปจนไม่เอื้อต่อการกำเนิดของสิ่งมีชีวิต พิสัยที่ถูกต้องของพลังงานมืดที่เหมาะสมนี่เอง ที่ทีมวิจัยต้องการค้นหาหรืออย่างน้อยที่สุดก็จำกัดวงลงให้ได้ใกล้เคียงที่สุด

ภายใต้แบบจำลองคอมพิวเตอร์ด้วยโปรแกรมที่เรียกว่า “อีโวลูชั่น แอนด์ แอสเซมบลี ออฟ แกแล็กซี แอนด์ แดร์ เอนไวรอนเมนท์ส” ทีมวิจัยพบว่า ปริมาณของพลังงานมืดที่ถูกต้องไม่ได้จำกัดแคบอย่างที่คิด โดยพบว่าแม้จะมีพลังงานมืดมากกว่าปริมาณของพลังงานมืดที่มีอยู่ในจักรวาลของเราในเวลานี้ถึง 300 เท่า สิ่งมีชีวิตก็สามารถหาช่องทางกำเนิดและวิวัฒนาการได้

นั่นหมายความว่า หากพหุจักรวาลตามทฤษฎี มัลติเวิร์ส มีอยู่จริงได้ ก็มีโอกาสมากมายหลายเท่าอย่างยิ่งที่จะมีสิ่งมีชีวิตเกิดและวิวัฒนาการขึ้นในจักรวาลคู่ขนานเหล่านั้นนั่นเอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image