“มัมมีเหยี่ยว” หรือ “ฮอว์กมัมมี” มีอายุเก่าแก่ย้อนหลังไปถึง 2,100 ปี พิพิธภัณฑ์ เมดสโตน ในสหราชอาณาจักร ได้รับบริจาคมาจากนายแพทย์ในท้องถิ่นเมื่อปี 1925 และหลังจากนั้นก็นำออกจัดแสดงอยู่เป็นครั้งคราว และถูกเรียกว่า “มัมมีเหยี่ยว” มาโดยตลอด เนื่องจากรูปลักษณะของ คาร์ทันเนจ หรือสิ่งที่ใช้บรรจุมัมมี ซึ่งส่วนหัวมีลักษณะกระเดียดไปทางนกหรือเหยี่ยว
คาร์ทันเนจ นั้นประกอบขึ้นจากชั้นกระดาษปาปิรัส หรือผ้าลินินปิดทับซ้อนกันหลายชั้น ฉาบด้วยปูนก่อนตกแต่งประดับดาภายนอก ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นไปตามลักษณะของ มัมมีที่บรรจุอยู่ภายในนั่นเอง
แอนดรูว์ เนลสัน นักชีวะโบราณคดีและศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยา จากมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น ออนแทริโอ ประเทศแคนาดา มีโอกาสได้นำทีมนักวิทยาศาสตร์เข้าไปตรวจสอบภายในมันมีเหยี่ยวดังกล่าวด้วยกรรมวิธี ไมโคร-ซีที สแกนนิ่ง ซึ่งเป็นเทคนิคการใช้รังสีเอกซ์เรย์สร้างภาพความละเอียดสูงจากภายใน คาร์ทันเนจ โดยไม่ต้องเปิดหรือทำลายสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ผลจากการทำซีทีสแกนดังกล่าวทำให้พบว่า ภายในแทนที่จะเป็นมัมมีเหยี่ยวอย่างที่เข้าใจกันมาโดยตลอด กลับเป็นมัมมีของเด็กทารกที่เสียชีวิตในท้องมารดา อายุราว 23-28 สัปดาห์เท่านั้น นอกจากนั้นยังเป็นทารกที่ผิดปกติ ส่วนศีรษะและสมองไม่พัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น หรือที่เรียกว่า ภาวะไร้สมองใหญ่ (แอเนน เซฟาลี) ซึ่งเป็นอาการผิดปกติขณะตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นน้อยมาก เท่าที่ผ่านมาพบมัมมีอีกเพียง 1 รายเท่านั้นที่ปรากฏลักษณะทำนองนี้
เนลสันระบุว่า ทารกรายนี้ได้รับการทำให้เป็นมัมมีอย่างพิถีพิถัน สอดคล้องกับด้านนอกของคาร์ทันเนจที่ประดับตกแต่งอย่างวิจิตร มีทั้งภาพของเทพเจ้า โอซิริส และเทพี ไอซิส กับ เทพี เนฟทีส ประดับอยู่ด้วย เหนือเทพโอซิริส มีภาพ “บา-เบิร์ด” นกในตำนานที่มีศีรษะเป็นมนุษย์ บินวนอยู่ใต้ “ดวงตาอุดจัต” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครองและความมีสุขภาพดี
เนลสันระบุว่า ทารกตายในท้องแม่เช่นนี้ ในยุคนั้นเชื่อกันว่าจะมีพลังอำนาจ ในทางอิทธิปาฏิหาริย์ ทำนองเดียวกับความเชื่อของชาวโรมันโบราณที่เชื่อว่า ทารกตายในครรภ์มีฤทธิ์หยุดการเคลื่อนไหวของผู้คนได้ เป็นต้น