การได้นั่งดู ละครย้อนยุค ที่นำเสนอเรื่องราวความรักความชังความคิดความเชื่อวิถีชีวิตผู้คนในอดีตนั้นอาจชวนให้เพลิดเพลิน แต่ การเมืองย้อนยุค ที่หักเหลี่ยมปล้นชิงอำนาจและผลประโยชน์กันโดยใช้ประเทศเป็นเดิมพันนั้นเป็นเรื่องชวนเศร้า
การเมืองการปกครองเกี่ยวพันกับทุกด้านในการพัฒนาประเทศ สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา และวัฒนธรรม
การศึกษาที่ เปิดกว้าง ทางวิชาการกับการศึกษาที่ ครอบงำ ต้องการระบอบการเมืองการปกครองที่แตกต่างกัน
การเมืองที่ เสรี กับการเมืองที่ ครอบงำทางอุดมการณ์ ก็มีท่วงทำนองที่ต่างกัน
เดือนกุมภาพันธ์ เมื่อ 70 ปีก่อนนี้ เคยมี การเลือกตั้ง
นายควง อภัยวงศ์ ชนะเลือกตั้งและได้เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่เพียงเดือนกว่าๆ เท่านั้น นายควงก็ถูกเอาปืนจี้ให้ลุกออกจากเก้าอี้
เมื่อสิ้นไร้ยางอาย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็เป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง
ทั้งๆ ที่ปฏิบัติการยึดอำนาจนั้นอุกอาจ แต่ว่ากันว่า 70 ปีก่อนคนไทยยังได้รับ การศึกษาไม่กว้างขวางไม่ทั่วถึง จึงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ อดทน ข่มกลั้น
โบ้ยส่งไปที่ การศึกษา ไม่ใช่อุปนิสัย !
จอมพล ป. ครองอำนาจอย่างยาวนานท่ามกลางการก่อกบฏที่ถูกปราบเหี้ยนเตียนสิ้นซาก จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.2498 จอมพล ป. ออกเดินทางไปเยือน 17 ประเทศทั่วโลก ยาวนานกว่า 2 เดือน
จอมพล ป.ได้เห็นโลก เห็นสังคม เห็นผู้คนในแผ่นดินที่เจริญแล้ว ถ้าจะ สืบทอดอำนาจ ต่อไป ต้องคิดมุขใหม่
เมื่อจอมพล ป.กลับมา เริ่มมีการใช้คำว่า ปฏิรูปการเมือง
เปิดให้มีพรรคการเมือง ให้เสรีภาพ จากที่เคยไล่ล่าปราบปรามนักศึกษาปัญญาชนนักคิดนักเขียนสื่อมวลชนหัวก้าวหน้ากลับเปิดกว้างให้วิพากษ์วิจารณ์
รัฐบาลตั้งพรรคการเมืองชื่อ เสรีมนังคศิลา แล้ว จอมพล ป. ก็เป็นหัวหน้าพรรคเสีย ขณะที่ทั้ง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ และ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มือซ้ายขวาก็นั่งอยู่ในคณะรัฐบาลทั้งสิ้น
การเลือกตั้งมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2500
ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
พรรคเสรีมนังคศิลาชนะเกินครึ่ง ได้ ส.ส. 86 ที่นั่ง จากทั้งหมด 160 ทำให้ จอมพล ป. ได้จัดตั้งรัฐบาล และเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
ลองย้อนนึกดู เสรีมนังคศิลา กับ พลังประชารัฐ ต่างกันตรงไหน
ต่างกันที่ ป.ประยุทธ์ ไม่จำเป็นต้องนั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคเช่นเดียวกับ ป. พิบูลสงคราม !?!!