จะว่าไปแล้ว ปิยบุตร แสงกนกกุล แห่งพรรคอนาคตใหม่ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ แห่งพรรคไทยรักษาชาติ (ถูกยุบพรรคแล้ว) และอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด แห่งพรรคเพื่อไทยนั้น ทุกคนล้วนเป็น “คู่แข่ง” ทางการเมือง
ขอย้ำว่าคู่แข่งไม่ใช่ “ศัตรูทางการเมือง”
การตรวจสอบ ถ่วงดุล สงสัย อภิปรายซักถามฝ่ายรัฐบาลจึงเป็นเรื่องธรรมดา
กรณีนายกรัฐมนตรีนำ ครม.กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดนั้นไม่เพียงจะถูก “คู่แข่งทางการเมือง” ตั้งคำถามและให้องค์กรที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ แม้แต่รุ่นลูกๆ หลานๆ อย่าง “เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล” นิสิตจุฬาฯ ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า มาตรฐานคืออะไร
“เนติวิทย์” ยกเหตุการณ์
“ผมกับเพื่อนโค้งคำนับ ร.5 ตามพระบรมราชโองการที่ท่านให้ไว้ ไม่หมอบกราบแบบที่มหาวิทยาลัยจัดให้นิสิตใหม่ทำ ออกก่อนพิธีเลิกไม่เกิน 10 วินาที มีอาจารย์เข้ามาล็อกคอทำร้ายร่างกาย แทนที่จะว่าอาจารย์มีปัญหา เรากลับถูกว่าเป็นตัวยั่วยุให้อาจารย์มาล็อกคอ ถูกตัดคะแนน ถูกตั้งกรรมการสอบ ถูกไล่ออกจากสภานิสิต ถูกสมาคมศิษย์เก่า 3 คณะออกแถลงการณ์หาว่าเราป่วน”
เทียบกับความผิดระดับชาติ !
“ครม.ประยุทธ์หนักกว่าผม จงใจเลือกพูดบางประโยค ทั้งที่ในรัฐธรรมนูญระบุว่าต้องพูดอะไรยังไง ผิดพลาดไปไม่ได้ ไม่งั้นจะใส่ในรัฐธรรมนูญทำไม…ผมรอดูผู้บริหารจุฬาฯชุดนี้กับพวกสมาคมศิษย์เก่าจะมีจิตใจรักประเพณีเข้มข้นแค่ไหน เสาหลักแห่งแผ่นดินจะกล้าออกแถลงการณ์ไม่พอใจรัฐบาลหรือไม่”
เป็นคำถามที่ไม่มี “จุดประสงค์ทางการเมือง”!
เพียงแต่เปิดแผล “ระบบความคิดแบบอำนาจนิยม” ที่เมื่อผู้อื่นคิด ผู้อื่นทำ ถึงจะพลั้งพลาดเล็กน้อยก็ขยายให้ “ใหญ่” ตีแผ่ขยายผลออกไปให้กว้าง ใส่สีตีไข่ สั่งให้ทำลายล้างกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ถ้าเป็นนักการเมืองก็ยุบพรรคตัดสิทธิ อย่าให้มีที่ยืน
ถ้าเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านก็มีทีมทุบ !
ถึงจะป่าเถื่อนผิดร้ายแรงทั่วทั้งสังคมก็ “จงใจ” สงบเสงี่ยมเจียมตนต่อ “ผู้เป็นใหญ่”
คำกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณของ “ครม.ประยุทธ์ ภาค 2” ที่ “หายไป” ทั้งบรรทัดนั้น ไม่ใช่เรื่องสายลมแสงแดด แต่เป็น “ใจความสำคัญ”
สงสัยจริงๆว่า นายกรัฐมนตรีกับ ครม.ชุดนี้ จะแถไปได้นานแค่ไหน !?!!